เมดอินเจแปนสะท้านโลก,กระทิงขายหน้าตามไส้กรอก! 5 ข้อ ญี่ปุ่น ตบ สเปน ยิ่งใหญ่ จูงกันเข้ารอบ

จากชัยชนะที่มีเหนือทีม กระทิงดุ ทำให้ ซามูไร บลูส์ ทะยานเข้ารอบเป็นแชมป์กลุ่มโดยที่ สเปน เดินตามก้นเข้าไปเล่นต่อในรอบ 16 ทีมเช่นกัน แต่งานนี้พลพรรค เมด อิน เจแปน จะเจองานหนักอีกเช่นเคยด้วยการฟัดกับ โครเอเชีย ขณะที่ สเปน จะบู๊กับ โมร็อคโก ซึ่งทั้งสองคู่จะหวดกันในวันอังคารนี้

1.กระทิงดุ สลับทัพห้าตำแหน่ง



หลุยส์ เอ็นรีเก้ นายใหญ่ทีมชาติ สเปน สลับตัวนักเตะจากเกมเสมอกับ เยอรมัน 1-1 มากถึงห้าตำแหน่งโดยพวกเขาต้องการผลเสมอเป็นอย่างน้อยต่อการผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย

ในจำนวนนี้ เซซาร์ อัซปิลกวยต้า , เปา ตอร์เรส และ อเลฆานโดร บัลเด้ ได้ลงเล่นในแผงหลังแทนที่ เอมเมอริค ลาปอร์กต์ , ดานี่ การ์บาฆาล และ จอร์ดี้ อัลบ้า

ส่วนอีกสองรายในแผงรุกเป็นโอกาสของ นิโก้ วิลเลี่ยมส์ กับ อัลบาโร่ โมราต้า ที่ได้เล่นแทน เฟร์รัน ตอร์เรส กับ มาร์โก อเซนซิโอ ซึ่งเท่ากับว่า กาบี้ ที่ไม่สมบูรณ์เต็มร้อยลงได้ลงสนามเป็นตัวจริงเช่นเดียวกับ โรดรี้ มิดฟิลด์ทีม แมนฯ ซิตี้ ที่เจ็บเล็กน้อย และยังถูกส่งลงบู๊ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเหมือนเดิม ขณะที่ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ ก็ไม่ถูกเก็บตัวเอาไว้ทั้งๆที่จะติดโทษแบนเกมหน้าหากได้ใบเหลืองเพิ่ม

ถึงกระนั้น บุสเก็ตส์ ก็เพิ่มสถิติลงเล่นในเกม ฟุตบอลโลก เป็นนัดที่ 16 แล้วซึ่งเท่ากับ อันโดนี่ ซูบิซาร์เรต้า และเป็นรองแค่ อีเกร์ กาซิยาส กับ เซร์คิโอ รามอส เท่านั้นจากการลงสนาม 17 นัด

ต่อการจัดทัพดังกล่าว ทำให้ สเปน มีทีมอายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยลงเล่น ฟุตบอลโลก นับตั้งแต่ทีมพลังหนุ่มของพวกเขาลงบู๊ในปี 2006 นัดพ่ายต่อ ฝรั่งเศส 3-1 กระเด็นตกรอบ 16 ทีม

2.ซามูไร สู้ตายเปลี่ยนห้าแข้งเช่นกัน



ด้านทีมชาติ ญี่ปุ่น ของกุนซือ ฮาจิเมะ โมริยาสุ ยังมีลุ้นเข้ารอบหากสร้างชื่อเอาชนะ สเปน ได้เหมือนเกมออกสตาร์ตทัวร์นาเมนต์ที่พวกเขาช็อกโลกด้วยการพลิกแซงชนะ เยอรมัน 2-1

สำหรับเกมนี้ ทีมเมืองปลาดิบเลือกใช้บริการของ โชโกะ ทานิงูจิ ,ทาเคฟุสะ คุโบะ ,จุนยะ อิโตะ ,อาโอะ ทานากะ และไดเซน  มาเอดะ ก่อนหน้า มิกิ ยามาเนะ ,วาตารุ เอ็นโดะ ,ริทสึ โดอัน ,  ยูกิ โซมะ และ อายาเซะ อูเอดะ ในโผ 11 คนแรก

ฉะนั้นแล้ว ดาวเตะอย่าง ทาคูมะ อาซาโนะ ,คาโอรุ มิโตมะ ,ทาคูมิ มินามิโนะ และ ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ จึงนั่งเป็นตัวสำรองเช่นเดิม

3.เข้าที่สองจะดีกว่ามั้ย?

บางทีมันก็เป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากเนื่องจากเกมในกลุ่ม อี กับ เอฟ ลงสนามคนละเวลา

และอย่างที่เห็นกันว่าหลังจบนัดที่สามของกลุ่ม เอฟ ซึ่งลงเล่นกันก่อนหน้า โมร็อคโก หักปากกาเซียนคว้าแชมป์กลุ่มได้สำเร็จจากการเก็บได้ 7 แต้ม และไม่แพ้ใครโดยมี โครเอเชีย รองแชมป์เก่าตามหลังเข้ามากับการเก็บได้ 5 แต้มจากผลลัพธ์ชนะ 1 เสมอ 2 ซึ่งทำให้ เบลเยี่ยม ทีมระดับหัวแถวกระเด็นตกรอบอย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อเป็นซะอย่างนี้ ทีมอันดับหนึ่งของกลุ่ม อี จะต้องบู๊กับ โครเอเชีย ซึ่งถูกมองว่าน่าจะเป็นงานหนักกว่าทีมรองแชมป์กลุ่ม อี ที่จะได้บู๊กับ โมร็อคโก ซะอีก

แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อมันเลือกไม่ได้ ทุกทีมก็ต้องกำชัยเอาไว้ก่อน ส่วนจะต้องเจอกับทีมไหนในรอบต่อไปก็สุดแต่บุญแต่กรรมเท่านั้น

และจากความเป็นจริงของทั้งสองในของกลุ่ม อี ปรากฏว่าสถานการณ์พลิกไปพลิกมาหลายตลบจนถึงหยดสุดท้ายชนิดที่ทุกทีมมีโอกาสเข้ารอบ และตกรอบไม่แพ้กัน ฉะนั้นแล้วการกำชัยเอาไว้ก่อนจึงเป็นเรื่องที่ปลอดภัยที่สุด

4.โมราต้า ซ่าต่อเนื่อง

สร้างชื่อจนได้สำหรับ อัลบาโร่ โมราต้า เมื่อโขกพังประตูพา สเปน ออกนำ ญี่ปุ่น ตั้งแต่ต้นเกมซึ่งทำให้เขาเป็นดาวเตะ กระทิงดุ รายที่สองที่สอยตาข่ายได้ตลอดสามเกมแรกของ ฟุตบอลโลก ต่อจาก เตลโม ซาร์ร่า ที่สร้างผลงานเอาไว้ในปี 1950

แม้เกมแรกเขาจะลงเล่นเป็นตัวสำรองช่วงครึ่งหลังแทน เฟร์รัน ตอร์เรส แต่หัวหอกทีม แอตเลติโก มาดริด ซัดประตูปิดท้ายในช่วงทดเวลาให้ สเปน ถล่ม คอสตาริกา 7-0

จากนั้นในเกมเสมอกับ เยอรมัน 1-1 โมราต้า ก็ลุกจากม้านั่งสำรองไปเสียบแทน ตอร์เรส ช่วงครึ่งหลังเช่นกัน และเป็นคนทำประตูให้ทีมนำหน้าได้ กระทั่งนัดฟัดกับทีมชาติ ญี่ปุ่น เขาได้รับภาระให้ลงสนามเป็นตัวจริง และไม่ทำให้ เอ็นรีเก้ ผิดหวังอีกเช่นเคย

พร้อมกันนี้ โมราต้า ยังเพิ่มสถิติในทีมชาติเป็น 30 ประตูจาก 60 นัดด้วย และเป็นการยิงประตูที่ 9 ในศึก ฟุตบอลโลก รวมกับศึก ฟุตบอลยูโร ของเขานับตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งไม่มีดาวเตะทีมชาติ สเปน คนไหนทำได้เทียบเท่า แถมเจ้าตัวยังได้ลุ้นคว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุด ฟุตบอลโลก งวดนี้เช่นกันจากการคลำเป้าได้ 3 เม็ดเท่ากับ เอ็นเนร์ วาเลนเซีย , คิลิยัน เอ็มบัปเป้ , โคดี้ กัคโป และ มาร์คัส แรชฟอร์ด 

5.ปลาดิบ ไว้ลายอีกจนได้



แม้ครึ่งแรกจะเป็นรอง สเปน แบบเทียบไม่ได้ทั้งเปอร์เซนต์การครองบอล 83:17% และจังหวะส่องยิง 5:2 ครั้ง (สเปน เข้ากรอบ 3 ครั้ง ญี่ปุ่น ไม่เข้ากรอบ) แถมต่อบอลด้อยกว่าอีกโดยทีม กระทิงดุ  ผ่านบอลสำเร็จ 530 ครั้ง ขณะที่ทีม เมืองปลาดิบ ทำได้ 89 แต่มันไม่สำคัญเลยในเมื่อทีมยักษ์จาก เอเชีย เป็นรองแค่ประตูเดียว และยังมีหวังพลิกสถานการณ์

จนกระทั่ง ริทสึ โดอัน ตัวสำรองของ ญี่ปุ่น ทำแสบเหมือนเกมที่เขาลุกจากม้านั่งลงไปซัดประตูตีเสมอนัดชนะ เยอรมัน 2-1 ได้อีกครั้งโดยเกมนี้กองหน้าทีม ไฟร์บวร์ก ใช้เวลาเพียงสามนาทีก็สอยตาข่ายตีเสมอให้ทีมได้ ก่อนที่อีก 142 วินาทีต่อมา อาโอะ ทานากะ จะเข้าฮอสพาทีม ซามูไร แซงนำ 2-1 โดยที่ วีเออาร์ ยืนยันว่าบอลยังไม่หลุดออกเส้นหลังเต็มใบ

เท่านั้นแหละ กระทิงดุ ก็ช็อกตาตั้ง และจิตตกอย่างเห็นได้ชัด แถมยิ่งเล่นในสไตล์ครองบอลเนิบๆแบบเดิมก็ยิ่งเข้าทางทีม อาทิตย์อุทัย ที่ไม่จำเป็นต้องบุกอีกแล้ว นอกจากเน้นตั้งกำแพงป้องกันประตูอย่างรัดกุมซึ่งทำเอานักเตะจากแดน เอสปันญ่า ถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียวจวบจนกระทั่งหมดเวลา

แน่นอนว่าหลังโม่เกือกกันครบ 90 นาที สเปน เหนือกว่าแทบทุกอย่างยกเว้นจำนวนประตู ไม่ว่าจะเป็นการครองบอลโดยรวม 82:18% และการสับไก 12:6 ครั้งซึ่งเข้ากรอบ 5:3 ครั้ง

แต่ที่น่าทึ่งที่สุดคือ ญี่ปุ่น สร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรก และทีมเดียวที่เอาชนะคู่แข่งที่พยายามผ่านบอลได้มากกว่า 700 ครั้งทั้งในเกมชนะ เยอรมัน และ สเปน ใน ฟุตบอลโลก หนนี้นับตั้งแต่เริ่มมีระบบจดบันทึกสถิติตั้งแต่ปี 1966 เป็นต้นมา