คอลัมน์การเมือง – เศรษฐกิจไทยปี2566

ในเดือนธันวาคมอันเป็นเดือนสุดท้ายของปี ธรรมเนียมที่พบได้เสมอ คือ การที่บรรดาบุคคลหรือองค์การผู้เชี่ยวชาญจะออกมา “พยากรณ์เศรษฐกิจ” ในปีถัดไป ซึ่งตลอดทั้งเดือน ธ.ค. 2565 ก็มีหลากหัวข้อ-หลายทรรศนะว่าด้วยเศรษฐกิจไทยในปี 2566 อาทิ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยแพร่บทวิเคราะห์ “10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2566” โดยกลุ่ม “ดาวร่วง” ประกอบด้วย อันดับ 1 มี 2 ประเภทครองอันดับร่วม ได้น้อยที่สุดเพียง 8.6 คะแนน คือ ธุรกิจฟอกย้อม กับธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์และวารสาร-หนังสือพิมพ์ที่เป็นรูปแบบกระดาษ

อันดับ 2 ครองอันดับร่วมที่ 9.5 คะแนนเท่ากัน คือ ธุรกิจรับ-ส่งสื่อสิ่งพิมพ์ตามบ้านและสถานที่ทำงาน ธุรกิจโรงพิมพ์/การพิมพ์ เช่น หนังสือ แผ่นพับ อันดับ 3ธุรกิจคนกลาง 10.2 คะแนน อันดับ 4 ร้านขายหนังสือ 12.3 คะแนน อันดับ 5 ธุรกิจเครื่องปั้นดินเผาและเซรามิก 13.1 คะแนน อันดับ 6 มี 2 ธุรกิจครองอันดับร่วมที่ 14.5 คะแนน คือธุรกิจร้านถ่ายรูป กับธุรกิจหัตถกรรม อันดับ 7ธุรกิจผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ไร้ฝีมือ หรือเสื้อผ้าโหล15.6 คะแนน อันดับ 8 ธุรกิจคริปโตเคอร์เรนซี (สกุลเงินดิจิทัล) 16.9 คะแนน อันดับ 9 โรงเรียนเอกชน 17.4 คะแนน และอันดับ 10 ธุรกิจร้านโชห่วย 18.9 คะแนน


ส่วนกลุ่ม “ดาวรุ่ง” หรือธุรกิจเด่น ประกอบด้วยอันดับ 1 ธุรกิจการแพทย์และความงาม มีคะแนนสูงมากถึง 96.3 คะแนน รองลงมาคือ การซื้อ-ขายสินค้าทางออนไลน์ (E-Commerce) ได้ 95.5 คะแนน อันดับ 3มี 3 กลุ่ม คือ ธุรกิจบันเทิงทางออนไลน์และสื่อสังคมออนไลน์ ธุรกิจฟินเทค (Fintech) และการชำระเงินผ่านระบบเทคโนโลยี ธุรกิจจัดงานอีเว้นท์ ซึ่งรวมถึงคอนเสิร์ตและงานแสดงสินค้า ได้ไปกลุ่มละ 94.8 คะแนน อันดับ 4ธุรกิจโฆษณาและผลิตเนื้อหาบนสื่อออนไลน์ รวมไปถึงการรีวิวสินค้า ได้ไป 94 คะแนน

อันดับ 5 ธุรกิจแพลตฟอร์มออนไลน์ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการซื้อ-ขายสินค้าหรือบริการ เช่นสั่งอาหาร เรียกรถรับจ้าง หาคู่ ฯลฯ ได้ 93.5 คะแนน อันดับ 6 ได้เท่ากันที่ 92.8 คะแนน มี 2 กลุ่ม คือ ธุรกิจประกันภัย-ประกันชีวิต กับธุรกิจสถานบันเทิงยามค่ำคืน (เช่น ผับ บาร์ คาราโอเกะ) อันดับ 7 มี 2 กลุ่มที่ 91.5 คะแนน คือธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรมและที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการค้าปลีกสมัยใหม่

อันดับ 8 มี 2 กลุ่มร่วมที่ 90.4 คะแนน ธุรกิจโลจิสติกส์ (ขนส่งและคลังสินค้า) กับธุรกิจตู้หยอดเหรียญเช่น อาหาร น้ำ เครื่องซักผ้า ฯลฯ อันดับ 9 มีถึง3 กลุ่ม ที่ 89.7 คะแนน คือ ธุรกิจอี-สปอร์ต และที่เกี่ยวข้อง ธุรกิจอาหารเสริม ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม(ไม่มีแอลกอฮอล์) และอันดับ 10 มี 4 กลุ่ม ที่ 89 คะแนนคือ ธุรกิจยานยนต์ ธุรกิจความเชื่อ (หมอดู ทำนายดวงชะตา) ธุรกิจบันเทิง (โดยเฉพาะกลุ่มละคร-ภาพยนตร์แนว Y) และที่เกี่ยวข้อง และธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาและใบกระท่อม

ขณะที่ รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ นักเศรษฐศาสตร์ และ กรรมการหลักสูตรการบริหารเศรษฐกิจสาธารณะสำหรับผู้บริหารระดับสูง สถาบันพระปกเกล้าคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2566 ดังนี้ “กรณีฉากทัศน์พื้นฐาน (Baseline)” อนาคตที่คาดหมายจะเกิดขึ้นได้มากที่สุด อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2566 จะอยู่ที่ 3.0-3.7% อัตราเงินเฟ้อ 3-4% อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.50-3% คาดการณ์ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวเฉลี่ยอยู่ในช่วง 32.50-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปีหน้า อัตราการขยายตัวของการบริโภค 4-5%

โดยทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นมีผลต่อภาคการบริโภคและรายได้ครัวเรือนโดยเฉลี่ยเริ่มฟื้นตัว สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปรับลดลงต่อเนื่องจากระดับสูงสุดเมื่อปี 2563 อัตราขยายตัวของการลงทุน 3.5-4% โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตฟื้นตัวในหลายอุตสาหกรรมจำเป็นต้องมีการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มเติม อาจเกิดภาวะขาดแคลนแรงงานในหลายธุรกิจอุตสาหกรรมและกิจการท่องเที่ยว อัตราการขยายตัวของการส่งออก2-5% ลดลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าบางประเทศ

อัตราการขยายตัวของการนำเข้า 12-14%ขยายตัวต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของการลงทุนภายในประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 11-16 พันล้านดอลลาร์และดุลการค้าเกินดุล 6.4-11.2 พันล้านดอลลาร์ เป็นผลจากการส่งออกยังขยายตัวต่อเนื่องแม้นมีอัตราที่ชะลอลงจากปี 2565 แต่ราคาพลังงานนำเข้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญทำให้ลดการขาดดุลการค้าประกอบกับมีรายได้จากภาคท่องเที่ยวของต่างชาติและกระแสเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติ รายได้จากการท่องเที่ยวจากต่างประเทศน่าจะแตะระดับ 9.5 แสนล้านบาท ถึง 1 ล้านล้านบาท ในปี’66

โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 18.5-20 ล้านคน ส่วนการท่องเที่ยวในประเทศจะมีรายได้ประมาณ 7-8 แสนล้านบาท รวมรายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกิจการต่อเนื่องน่าจะอยู่ระดับ 1.55-1.8 ล้านล้าน ในปี 2566 คาดการณ์ว่า ธุรกิจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างชัดเจน แต่ยังคงห่างไกลจุดสูงสุดของภาคการท่องเที่ยวไทยที่เคยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสมเกือบ 40 ล้านคนในหนึ่งปี และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวจากต่างชาติเกือบ 2 ล้านล้านบาท

“กรณีอนาคตที่น่าจะเกิดขึ้นได้ (Probable Future)” มองว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจจะขยายตัวมากกว่า 4% ก็เป็นไปได้ หากภาคการลงทุนภาคการท่องเที่ยวขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกต่ำกว่าที่คาดการณ์โดยอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจสูงกว่า 2.7% จีดีพีของสหรัฐอเมริกาขยายตัวได้มากกว่า 1.1% อัตราการขยายตัวของจีนสูงกว่า 6.5% ญี่ปุ่นสูงกว่า 1.6% ปริมาณการค้าโลกเติบโตมากกว่า 2.5% สงครามยูเครน-รัสเซียยุติลงด้วยการเจรจา

การแพร่ระบาดโควิด-19 ในจีนไม่รุนแรงและไม่มีการล็อกดาวน์ขนาดใหญ่ และทยอยเปิดเมืองเปิดประเทศ ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองเป็นบวก ได้รัฐบาลผสมที่มีเสถียรภาพ มีทีมเศรษฐกิจที่มีความรู้ความสามารถ มีการผลิตนโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีประสิทธิผลและสนองตอบต่อพลวัตของปัจจัยภายในภายนอกได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำกว่า 3% ก็เป็นไปได้ แต่ไม่น่าจะมีอัตราการขยายต่ำกว่า 2.5% หากปัจจัยและตัวแปรทั้งภายในและภายนอกไม่ได้ดีอย่างที่คาดการณ์ไว้แต่ไม่นอกเหนือความคาดหมายมากเกินไป

เดินทางมาถึงวันสุดท้ายของปี 31 ธันวาคมซึ่งนอกจากจะเป็นเวลาพักผ่อนและสังสรรค์ในช่วงหยุดยาวเทศกาลส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่แล้ว หลายคนยังใช้ช่วงนี้ทบทวนสิ่งที่ผ่านมาตลอดทั้งปีเก่า และเตรียมตัวรับมือสิ่งที่จะเข้ามาในปีใหม่ ซึ่ง “ที่นี่แนวหน้า”ขออวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านเดินทางปลอดภัย และปีใหม่ที่เข้ามานั้นเป็นที่ไม่เจ็บ-ไม่จน!!!