เป็นที่รู้กันทั่ววงการเกมว่าจำนวนผู้เล่นของ DOTA 2 นั้น กำลังอยู่ในช่วงขาลง แม้ว่า DOTA 2 จะติดท็อป 10 เกมที่มีผู้เล่นสูงสุดบน Steam อยู่เสมอ แต่ Valve ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามปรับปรุงเกมให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
ปัญหาหลักของ DOTA 2 สามารถแบ่งออกเป็น 2 ข้อหลักๆคือ
1) สิ่งแวดล้อมของเกม ไม่เหมาะสมกับผู้เล่นใหม่
2) การแข่งขัน Esports ที่ไม่เอื้ออำนวยกับทีมระดับกลาง
มาเริ่มกันที่ข้อแรก “สิ่งแวดล้อมของเกม ไม่เหมาะสมกับผู้เล่นใหม่” เกม DOTA 2 นั้นเป็นเกมแนว MOBA ที่มีตัวละคร (ฮีโร่) มากกว่า 100 ตัว และไอเทมในเกมมากกว่า 100 ชิ้น ผู้เล่นใหม่จะต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะเรียนรู้พื้นฐานของเกม เมื่อผู้เล่นใหม่เรียนรู้และพร้อมจะเล่นกับผู้เล่นคนอื่นที่เป็นมนุษย์ ผู้เล่นใหม่ยังต้องปรับตัวและเรียนรู้การเล่นเป็นทีมและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เล่นอื่นทั้ง 9 ชีวิตในเกม
สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ผู้เล่นใหม่มีสิ่งแวดล้อมที่ดีคือการที่ DOTA 2 มีระบบจัดทีมให้ผู้เล่นใหม่ได้มาเล่นด้วยกัน อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นใหม่มักจะเจอผู้เล่นที่มีประสบการณ์เข้าไปปนอยู่ด้วยเสมอ ทำให้ประสบการณ์ในเกมไม่สมดุล ไม่ว่าจะเป็นการชนะขาด หรือแพ้ขาด นอกจากนี้ DOTA 2 ยังมีระบบให้ผู้เล่นสื่อสารระหว่างกันด้วยการพิมพ์หรือเสียง ซึ่งก็เป็นดาบสองคมที่ต้องมีระบบจัดการให้รางวัลผู้เล่นนิสัยดี และลงโทษผู้เล่นนิสัยเสีย
ปัญหาหลักข้อแรกนี้ Valve ได้พยายามแก้ไขมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น การจัดสมดุลโหมด Rank การจัดการผู้เล่น Toxic และบัญชี Smurf (อ่านเพิ่มเติมที่: เอาจริง! Valve ประกาศซีซั่นใหม่ DOTA2 เน้นความสมดุลโหมดจัดอันดับ จัดการ ปั๊มไอดี เลือกผิดตำแหน่ง)
(ตัวอย่างผู้เล่นที่ถูกแบนจากการเล่น Rank)
สำหรับปัญหาหลักข้อที่สอง “การแข่งขัน Esports ที่ไม่เอื้ออำนวยกับทีมระดับกลาง” ก่อนจะลงลึกถึงรายละเอียด ต้องอธิบายก่อนว่าไม่ว่าเกมจะมีการจัดการ Esports ที่ดีขนาดไหน ถ้าเกมเกมนั้นไม่สนุก ก็ไม่มีทางยั้งยืนได้ สำหรับ DOTA 2 นั้น ได้พิสูจน์มาเป็นเวลาเกือบ 10 ปี แล้วว่าเกมมีความสนุกในตัวของมันเอง
เมื่อเกมใดที่เล่นแล้วสนุก ผู้เล่นก็จะเล่นเกมนั้นอย่างสม่ำเสมอ ทำให้มีความชำนาญสูงขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นที่มาของการแข่งขัน Esports ที่เป็นเครื่องมือสุดท้ายที่ใช้ทดสอบฝีมือของผู้เล่น ว่าใครหรือทีมใดคือสุดยอดของเกมนี้ ซึ่ง Valve ก็ได้สนับสนุนการแข่งขัน Esports มาโดยตลอด ซึ่งก็เห็นได้อย่างชัดเจนจากเงินรางวัลของการแข่งขัน The International (การแข่งขันพิสูจน์ว่าทีมใดเป็นทีมที่เก่งที่สุดในโลก) เพิ่มขึ้นทุกๆปี ล่าสุด The International 2019 มีเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 1,000,000,000 หรือกว่า 1 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ทีมที่เข้าร่วมแข่งขัน The International ในแต่ละปี มีไม่ถึง 20 ทีม ทำให้เงินรางวัล หรือแรงจูงใจของทีมระดับกลางในการฝึกซ้อมไปแข่งกับทีมระดับโลกมีน้อย เงินรางวัลส่วนใหญ่ตกลงไปในกระเป๋าของผู้เล่นจำนวนเพียงหยิบมือ ซึ่งล่าสุดเพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา (25 กุมภาพันธ์ 2020) Valve ก็ได้ประกาศการแข่งขัน Regional Leagues ที่จะเริ่มบังคับใช้ระบบนี้หลังจาก The International 2020 ให้โอกาสทีมระดับกลางถึงสูง ทั่วโลกร่วม 96 ทีม มีส่วนร่วมในการแข่งขันและรับเงินรางวัลเกือบ 10 ล้านบาท โดย Regional Leagues (และเงินรางวัลเกือบ 10 ล้านบาท) ไม่ได้มีเพียงครั้งเดียวต่อปี แต่มีถึง 6 ครั้ง ทำให้เงินรางวัลถูกอัดฉีดไปยังทีมต่างๆอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ซึ่งทีมของคุณก็สามารถเข้าร่วม Regional Leagues ได้ด้วย สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: DOTA 2 กับ Regional Leagues ที่ให้โอกาสทีมระดับกลางพิสูจน์ฝีมือ
ด้วยเหตุผลทั้ง 2 ข้อนี้ ทำให้สถานการณ์หลังจาก The International 2020 ในปีนี้ เป็นที่น่าจับตามอง ว่า DOTA 2 จะสามารถฟื้นคืนชีพ เพิ่มจำนวนผู้เล่นใหม่และรักษาทีมระดับกลางให้แข่งขันอยู่ต่อได้สำเร็จหรือไม่