ครอบครัว “อัพ อีสปอร์ต” ฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก นายกฯและ 31 บิ๊ก ศบค. 4.5 ล้าน เหตุละเลย ล่าช้า แก้ปัญหาโควิด ทำให้รับการรักษาล่าช้าจนเสียชีวิต
จากกรณีการเสียชีวิตจากโควิด-19 ของนายกุลทรัพย์ วัฒนผล หรือ อัพ ผู้บุกเบิกวงการอีสปอร์ต หรือ อัพ อีสปอร์ต เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2564 หลังต้องกักตัวที่บ้านหลายวัน ไม่สามารถติดต่อรถพยาบาล หรือรพ.เพื่อรับตัวได้ จึงไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที วันนี้ ญาติและทนาย ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการ ศบค. รวม 31 คน ฐานปล่อยปละละเลย ไม่ระงับยับยั้งการแพร่ระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่พบคลัสเตอร์ทองหล่อ พร้อมเรียกเงินชดเชย และค่าขาดอุปการะเลี้ยงดูบุพการี กว่า 4.5 ล้านบาท
หนุ่มอีสปอร์ต ติดโควิด กักตัวอยู่บ้าน 5 วัน ไม่มีใครช่วย สุดท้ายเสียชีวิต
อธิบดีกรมควบคุมโรคเผย มิ.ย. เปิด Walk in ฉีดวัคซีนโควิดอย่างเป็นทางการ
(ภาพขณะอัพ ได้รับการรักษาที่รพ.หลังอาการวิกฤตแล้ว)
นายกุลเชษฐ์ วัฒนผล พี่ชายของ นายกุลทรัพย์ วัฒนผล หรือ อัพ ผู้บุกเบิกวงการอีสปอร์ต พร้อมกับทนาย เข้ายื่นฟ้องศาลปกครองกลาง กล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 และคณะกรรมการ ศบค. รวมทั้งหมด 31 คน ฐานปล่อยปละละเลย ไม่ระงับยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ตั้งแต่พบคลัสเตอร์ทองหล่อ และปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า ในการรับผู้ป่วยติดเชื้อเข้ารับการรักษา จนเป็นเหตุให้ นายกุลทรัพย์ หรือ อัพ น้องชายเสียชีวิต ซึ่งถือว่าเป็นคดีแรกที่ประชาชนยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลโดยตรง
นายกุลเชษฐ์ กล่าวว่า เห็นว่าทุกวันมีการสูญเสียชีวิต ประมาณ 10 กว่าราย 30 กว่ารายหนึ่งเดือนจะได้ประมาณ 6,000 ราย ถ้าเรามาคิดกันดี ๆ 6,000 – 9,000 ราย ประมาณนี้ ตนไม่อยากให้เกิดการสูญเสียกับครอบครัวไหน ๆ ก็อยากให้ใครที่มีการสูญเสียอะไรอย่างนี้
ทั้งนี้ในคำร้องเป็นการกล่าวหา จำเลยทั้ง 31 คน ใน 3 ประเด็น คือ
1.ปล่อยปละละเลยให้มีการเปิดสถานบันเทิงที่เป็นแหล่งรวมคนจำนวนมาก จนเกิดการระบาดโควิด-19คลัสเตอร์ทองหล่อ
2.ไม่ประกาศห้ามเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ จนทำให้มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากเฉลี่ยวันละ 2,000 คน
3.ปล่อยปละละเลย ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร ในการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินแก้ประชาชน ผ่านทางสายด่วนที่ประกาศแจ้งไว้ และการให้ข้อมูลและคำแนะนำของ ศบค. เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวของผู้ติดเชื้อ จนทำให้ผู้เสียชีวิตไม่เดินทางออกจากบ้านพักไปเข้ารับการรักษาด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ญาติของนายกุลทรัพย์ เรียกร้องค่าชดเชย เป็นค่าปลงศพ 30,000 บาท และค่าขาดอุปการะเลี้ยงดูบุพการี คือ มารดา เดือนละ 15,000 บาท เป็นเวลา 25 ปี คือจนกว่านายกลุทรัพย์จะมีอายุครบ 60 ปี รวมเป็นค่าเสียหายจำนวนทั้งสิ้น 4,530,000 บาท
ขณะที่ทนายความระบุว่า ค่าเสียหาย คืออัพเลี้ยงดูแม่ ซึ่งเขาไม่สมควรที่จะตายในทันท่วงทีอย่างนี้ ทำให้ขาดการอุปการะเป็นเงินทั้งสิ้น ประมาณ 4,500,000 บาท รวมทั้งค่าปลงศพ 30,000 บาท ท้องฟ้องเรียกค่าเสียหายก็คือ 4,530,000 บาท และอีกส่วนหนึ่งที่ครอบครัวตัดสินใจยื่นฟ้อง เพียงคาดหวังว่าจะเป็นตัวอย่างในสังคมหากใครได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ศาลปกครอง ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมที่จะให้ความช่วยเหลือได้
“เครือซีพี” เบื้องหล…
This website uses cookies.