“ศูนย์ฯ สิริกิติ์” หลังปรับโฉมใหม่เตรียมเปิดบริการกันยายนนี้ อวดยอดจองอีเวนต์เข้ามาแล้ว 130 งานจนถึงปี 2566 คิดเป็นอัตราจองเฉลี่ย 70% ตั้งเป้าดันให้ถึง 80% หวัง COVID-19 คลี่คลายช่วยดันธุรกิจ MICE โดยต้องการเป็นศูนย์กลางการจัดงานของภูมิภาค CLMV ด้านพื้นที่รีเทลมีผู้เช่าแล้ว 40%
ศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดความคืบหน้าโครงการ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เตรียมเปิดบริการเดือนกันยายน 2565 โดยปรับปรุงใหม่มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น 5 เท่าเป็น 300,000 ตร.ม. (รายละเอียดการปรับปรุง ศูนย์ฯ สิริกิติ์ ติดตามได้ที่นี่)
จากการขยายพื้นที่ ทำให้ศูนย์ฯ สิริกิติ์จะเป็นศูนย์ประชุมกลางเมืองกรุงเทพฯ ที่ใหญ่ที่สุดหลังเปิดให้บริการ และการปรับสิ่งอำนวยความสะดวก เพิ่มการรองรับเทคโนโลยีทันสมัย และช่อง Loading Area ที่ใหญ่ขึ้น ศักดิ์ชัยมองว่าขณะนี้ศูนย์ฯ สิริกิติ์สามารถรองรับงานได้หลากหลายยิ่งขึ้น มีงานประเภทใหม่ๆ ที่ให้ความสนใจ เช่น การจัดแข่งขันอีสปอร์ตส, คอนเสิร์ต, การแสดงโชว์, งานแสดงสินค้าขนาดใหญ่
ปัจจุบันมีการจองพื้นที่จัดงานแล้วตั้งแต่เดือนแรกที่จะเปิดบริการ เช่น ASEAN Sustainable Energy Week 2022, FHT Food & Hospitality Thailand 2022 เป็นต้น
ศักดิ์ชัยกล่าวว่า ไลน์อัพงานอีเวนต์ที่ศูนย์ฯ สิริกิติ์มีแล้วมากกว่า 130 งาน ยาวจนถึงปี 2566 คิดเป็นอัตราการจอง 70% ของพื้นที่ทั้งหมด และตั้งเป้าดันตัวเลขให้ถึง 80% โดยเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ เพราะสถานการณ์ COVID-19 น่าจะฟื้นตัวดีขึ้น และรัฐบาลอนุญาตให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าได้แบบ Test & Go ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้แล้ว ทำให้ธุรกิจ MICE น่าจะเป็นภาพขาขึ้น
“เราได้เห็นจุดแข็งของเราด้วยว่า เมืองไทยเป็นศูนย์กลางของ CLMV เมื่อมีใครจะจัดงานแฟร์ที่เน้นคนแถบนี้ ที่จริงแล้วเราได้เปรียบมากกว่าการไปจัดถึงสิงคโปร์ หรือฮ่องกง เพราะเรามีความใกล้เคียงทางวัฒนธรรมกันมากกว่า และเมื่อศูนย์ฯ สิริกิติ์ปรับตัวให้รองรับได้ในระดับนานาชาติ ผู้จัดงานแฟร์จากยุโรปหรือสหรัฐฯ ก็จะพิจารณาเรามากขึ้นเพราะรองรับได้” ศักดิ์ชัยกล่าว
- เทียบฟอร์ม “ศูนย์ประชุม” ขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ
ขนาดพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นของศูนย์ฯ สิริกิติ์ทำให้ขณะนี้สามารถรองรับงานได้พร้อมกัน 5-10 งาน จากเดิมทำได้ 1-2 งานเท่านั้น ทำให้ศักดิ์ชัยมองว่ารายได้รวมของศูนย์ฯ สิริกิติ์ เมื่อรับรายได้เต็มปีจะเติบโต 5 เท่า และจะมีผู้ร่วมชมงานถึง 13 ล้านคนต่อปี
พื้นที่รีเทลใหญ่ขึ้น 30% มีผู้เช่าแล้ว
สำหรับส่วนรีเทลของศูนย์ฯ สิริกิติ์มีพื้นที่ 12,000 ตร.ม. ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 30% และวางเป้าหมายไว้รองรับทั้งผู้มาร่วมงานและประชาชนโดยรอบพื้นที่ซึ่งมีโครงการพัฒนาเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เช่น สวนป่าเบญจกิตติที่ขยายใหญ่ขึ้น ตึกออฟฟิศ The PARQ, ThaiBev HQ, FYI center ทำให้การออกแบบส่วนรีเทลในศูนย์ฯ สิริกิติ์จะรองรับกลุ่มเป้าหมายอื่นด้วย โดยแบ่งสัดส่วนเป็น
- กลุ่มหลัก 75% ผู้เข้าร่วมงานประชุม
- กลุ่มรอง 15% กลุ่มมาออกกำลังกายที่สวนเบญจกิตติ
- กลุ่มย่อย 10% คนทำงานและผู้อยู่อาศัยโดยรอบ
“ธีรนันท์ กรศรีทิพา” รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์ที่เข้ามาดูแลศูนย์ฯ สิริกิติ์ กล่าวว่า คอนเซ็ปต์การออกแบบรีเทลของที่นี่จึงอยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ BALM หรือ Bangkok Active Lifestyle Mall เพราะมีส่วนที่เน้นรองรับชาวสวนเบญจกิตติที่รักการออกกำลังกายด้วย โดยมีการแบ่งสัดส่วนร้านค้าเช่า ดังนี้
- 60% ร้านอาหารและเครื่องดื่ม
- 20% ร้านเครื่องกีฬาและบริการเธอราปี
- 20% ร้านของใช้ในชีวิตประจำวัน
ส่วนของร้านอาหารจะมีร้านที่เน้นด้านสุขภาพเข้ามาผสมผสานด้วย รวมถึงปีกอาคารที่ติดกับสวนเบญจกิตติจะเน้นให้เป็นโซนกีฬา เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงกับสวน มีทางเชื่อมตรงเข้าสวนเบญฯ แทบเป็นเนื้อเดียวกัน
ศูนย์ฯ สิริกิติ์คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานประชุมต่างๆ 13 ล้านคนต่อปี เสริมด้วยประชาชนที่อาศัยโดยรอบ 3 แสนคน และคนทำงานออฟฟิศกว่า 1 แสนคน เหล่านี้จะเป็นตัวเลขสนับสนุนพื้นที่รีเทลว่าจะมีทราฟฟิกเข้าออกจากหลายแหล่ง ทำให้ปัจจุบันมีผู้เช่าจองพื้นที่แล้ว 40% และยังเปิดรับคัดเลือกร้านค้าเพิ่มเติมอยู่ขณะนี้