แชมป์ที่ห่วยแตกที่สุด


แชมป์ที่ห่วยแตกที่สุด?

ถามว่า “แชมป์เก่า” ของพรีเมียร์ลีกทีมไหนที่ห่วยแตกที่สุดในประวัติศาสตร์ ???

    ทีมแรกที่วาบเข้ามาในมโนสำนึกโดยพลันก็คือเจ้าของแชมป์ลีกสูงสุดมากที่สุดอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด นี่แหละ

    หลังจากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 13 เมื่อฤดูกาล 2012-13 เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจอำลาตำแหน่งแบบไม่มีใครคาดคิด ภาษาอังกฤษเรียกอาการนี้ว่า Shock & Awe ที่ให้ความรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงมากลางกบาล

    พลพรรคปีศาจแดงชุดทำศึกพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2013-14 แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงทีมสักเท่าไหร่ 

    นักเตะจากชุดแชมป์ที่ทิ้งห่างคู่ขับเคี่ยวอย่าง แมนฯ ซิตี้ ถึง 11 แต้มก็อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เฉพาะอย่างยิ่งผู้เล่นระดับเสาหลักในแต่ละขุมกำลัง ไม่ว่าจะเป็น ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมานย่า วิดิช, จอนนี่ อีแวนส์, คริส สมอลลิ่ง และปาทริซ เอวร่า ในแผนกแผงหลัง

    หัวใจสำคัญในแดนกลางอย่าง ไมเคิ่ล คาร์ริค ก็ยังอยู่ เช่นเดียวกับกองหน้าอย่าง เวย์น รูนี่ย์ และโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ คนเดียวที่ออกจากทีมคือ ฟาบิโอ ดา ซิลวา ซึ่งไม่ใช่ตัวหลักอยู่แล้วในตอนนั้น แถมยังได้ มารูยาน เฟลไลนี่ เข้ามาเสริมทัพ ก่อน ฆวน มาต้า จะตามมาในเดือนมกราคม 2014

แชมป์ที่ห่วยแตกที่สุด?

    สิ่งที่แตกต่างจากเดิมคืออาการอิ่มตัวหลังประสบความสำเร็จ รวมถึงอายุที่มากขึ้นของผู้เล่นหลายคน

    เซ็นเตอร์แบ็คคู่ขวัญ ริโอ เฟอร์ดินานด์ กับ เนมานย่า วิดิช ถูกอาการบาดเจ็บลักพาตัวไปเป็นระยะและใกล้หมดสภาพเต็มทนจนไม่ได้ลงเล่นคู่กันเป็นประจำมา 2-3 ฤดูกาลแล้ว

แชมป์ที่ห่วยแตกที่สุด?

    เข้าใจแหละว่ามันเป็นเรื่องของแรงจูงใจที่ลดน้อยลง เช่นเดียวกับเข้าใจเรื่องอายุของผู้เล่นที่มากอยู่แล้วและมากขึ้นไปอีก 1 ปี ทว่าด้วยคุณภาพและมาตรฐานระดับแชมป์ ผลงานของปีศาจแดงก็ไม่น่าจะตกต่ำและดำดิ่งขนาดพุ่งลงไปในเหวนรกแบบนั้น

    ดังฉะนั้นสาเหตุสำคัญจึงน่าจะอยู่ที่การเปลี่ยนตำแหน่งผู้จัดการทีมนี่แหละ

    เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คุมทีมมานานเสียจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับตัวเอง ขณะที่ตัวแทนอย่าง เดวิด มอยส์ มีความสามารถและบารมีไม่ใกล้เคียงของเดิม มันจึงเกิดความเหลื่อมล้ำกันมากเกินไป

    ความจริง เดวิด มอยส์ ไม่ใช่ตัวเลือกแรกของท่านพระยาหมื่นลูกหนังนะครับ

    เพราะตอนที่รู้ตัวว่าจะวางมือแน่ๆ คุณป๋าพยายามติดต่อกับกุนซือระดับอ๋องในวงการเพื่อมาเป็นทายาทอสูรของตนเองอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่, เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และคาร์โล อันเชล็อตติ เอ่อ..อ..อ..อ…รวมถึง เจอร์เก้น คล็อปป์ ด้วย

    “เดอะ สเปเชี่ยล วัน” รับปากกับ “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช เอาไว้แล้วว่าจะกลับมาคุม เชลซี อีกรอบ ขณะที่ คาร์โล อันเลล็อตติ ก็เป็นตัวแทนของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ เรอัล มาดริด

    เมื่อคุณป๋าโฟนไปหา เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ปรากฏว่า…หมายเลขที่ท่านเรียกไม่มีเสียงตอบรับซะอย่างนั้น

    ส่วน เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ไม่สนใจทำระดับพญายักษ์ที่แรงกดดันมหาศาลอยู่แล้ว

    เมื่อไม่มีใครในระดับอ๋อง – กุนซือเลือดสก๊อตต์เหมือนกันของ เอฟเวอร์ตัน จึงกลายเป็นผู้ถูกเลือก ฟอร์มการเล่นของ แมนฯ ยูไนเต็ด เละเทะมากจนกลายสภาพเป็นทีมกลางตารางอย่างสมบูรณ์แบบ

    หลังพ่ายศึกที่ กูดิสัน พาร์ค แบบหมดสภาพ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2014 เบื้องบนตัดสินใจปลด เดวิด มอยส์ ออกจากตำแหน่งก่อนจบฤดูกาล 4 นัด พลางแต่งตั้ง ไรอัน กิ๊กส์ ขึ้นมารักษาการแทน

แชมป์ที่ห่วยแตกที่สุด?

    ฤดูกาลนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ในบ้านถึง 7 นัด และปราชัยรวมกันถึง 12 นัด จบด้วยอันดับที่ 7 ของตารางไม่ได้ไปเล่นแม้แต่ถ้วยเล็กอย่าง ยูโรปา ลีก โดยเป็นแชมป์เก่าที่สะสมคะแนนได้น้อยกว่าตอนเป็นแชมป์ครั้งล่าสุดถึง 25 แต้ม

นั่นคือจุดสิ้นสุดของยุคเรืองอำนาจ 

    อีกทีมที่จัดอยู่ในประเภท “แบด แชมเปี้ยนส์” คือ เชลซี ในฤดูกาล 2015-16 

    หลังจาก โชเซ่ มูรินโญ่ นำทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2014-15 พวกเขาก็ยังคงไว้ซึ่งผู้เล่นชุดเดิมนั่นแหละ โดยเพิ่มเติม เปโดร เข้ามาอีกหนึ่งคน

    แต่จุดเริ่มต้นของปัญหาสารพันดันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่นัดเปิดฤดูกาลที่ทำได้แค่เสมอ สวอนซี 2-2 ในบ้านตัวเอง

    ติโบต์ กูร์กตัวส์ ถูกไล่ออกในช่วงต้นครึ่งหลังทำให้ เชลซี เหลือผู้เล่น 10 คน ก่อน เอแด็น อาซาร์ จะมีอาการบาดเจ็บแล้วถูกลากออกมาให้แพทย์หญิงประจำทีมอย่าง อีวาร์ การ์เนยโร่ ทำการปฐมพยาบาลที่ข้างสนามจนเหลือผู้เล่นแค่ 9 ตัวในสนาม  เธอถูกผู้จัดการทีมตำหนิด้วยโทโสแล้วพาลพาโลถึงขั้นไล่ออกจากทีมไปเลย !!!

    ความจริงมันก็ไม่น่าจะใช่ความผิดร้ายแรงถึงขนาดต้องไล่ออกนะครับ มันอาจมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรที่มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อนทรยศมากกว่านั้น แต่ที่แน่ๆ คือหลังจากนั้น พลพรรคสิงห์บลูส์เหมือนต้องคำสาปจนทำฟอร์มการเล่นตกอย่างฮวบฮาบพลางหล่นไปอยู่กลางตารางแบบไม่มีเหตุผลและไม่ต้องการความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น 

    ก่อนถูกปลดออกจากตำแหน่งในระหว่างฤดูกาล กุนซือจอมอหังการเผยว่าเขาถูกลูกทีมหักหลัง แถมยังเอาเลื่อยไฟฟ้าหั่นขาเก้าอี้ หรือที่แฟนบอลชอบใช้คำว่า “เล่นล้มโค้ช” นั่นเอง

    ฤดูกาล 2015-16 แชมป์เก่าอย่าง เชลซี สะสมได้แค่ 50 แต้ม (น้อยกว่าเดิมถึง 37 แต้ม) และจบด้วยอันดับ 10 ของตาราง ถือว่าเป็นแชมป์ที่ห่วยแตกกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาล 2013-14 ของ เดวิด มอยส์ อีกนะครับ-ขอบอก

แชมป์ที่ห่วยแตกที่สุด?

    เมื่อนึกถึงแชมป์เก่าที่ห่วยแตกอีกสักทีมก็น่าจะเป็น แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในฤดูกาล 1995-96

    เพราะหลังจากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 1994-95 พลพรรคกุหลาบไฟก็เหมือนเดินทางมาถึงจุดน้ำแตก และไม่ต้องการอะไรอีกต่อไปแล้ว  

    เจ้าของทีมผู้ยอมวอดวายซื้อความสำเร็จให้ทีมกุหลาบไฟอย่าง แจ็ค วอล์คเกอร์ ก็เหมือนตายตาหลับ พูดง่ายๆ ว่าไม่เอาอะไรแล้ว

    ฤดูกาล 1995-96 แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ที่ยังคงมี อลัน เชียเรอร์ เป็นดาวถล่มประตู เช่นเดียวกับที่ยังมี เคนนี่ ดัลกลิช เป็นผู้จัดการทีมได้อันดับที่ 7 ของตาราง โดยสะสมได้เพียง 61 แต้ม น้อยกว่าตอนตัวเองเป็นแชมป์ถึง 28 แต้ม

เท่านั้นไม่พอ

    “กุหลาบไฟ” ยังตกต่ำอย่างต่อเนื่องถึงขนาดกระเด็นตกชั้นในเวลา 4 ปีถัดมา หลังจากคว้าแชมป์ !!! 

    จึงพอจะจัดอันดับแชมป์ที่ห่วยแตกที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ดังนี้

1. เชลซี 2015-16

2. แบล็คเบิร์น 1995-96

3. แมนฯ ยูไนเต็ด 2013-14

    นี่คือ 3 ทีมที่จัดอยู่ในประเภท “แบด แชมเปี้ยนส์” ของพรีเมียร์ลีก ซึ่งสังเกตได้ว่ามันมีต้นเหตุแห่งความหายนะที่แตกต่างกันไป

    ทีนี้มาดู ลิเวอร์พูล ชุดปัจจุบันที่ถูกนักวิจารณ์ปากไฟจิ๋มนรกอย่าง รอย คีน ยัดเยียดข้อหา “แบด แชมเปี้ยนส์” ให้แบบไม่ค่อยเต็มใจนัก

แชมป์ที่ห่วยแตกที่สุด?

    วันก่อนผมวิเคราะห์ไปแล้วว่าคำปรามาสของลูกพี่คีโน่ มันก็รุนแรงไปหน่อย แถมยังฉาบเอาไว้ด้วยแรงแค้นและแรงอาฆาต

    แต่ถ้าดูจากผลงานของพลพรรคหงส์แดง หลังผ่าน 24 นัดแรกในพรีเมียร์ลีกและฤดูกาลนี้ก็จะพบว่าพวกเขาเพิ่งสะสมได้แค่ 40 แต้มเท่านั้นเอง ซึ่งเท่ากับ 24 นัดแรกของ เดวิด มอยส์ เมื่อ 2013-14 

    อืมมมมมม…นะ

    และนั่นหมายความว่า…หมายความว่า…หมายความว่า…ว่า..ว่า..โอ้วซ์…ไม่นะ…ไม่…ไม่…ไม่

    ตัวเลขและตารางคะแนนไม่เคยโกหกใครก็จริง เพียงแต่บ่อยครั้งที่มันไม่ได้สะท้อนความจริงออกมาเสมอไปเช่นกัน

    เพราะปัญหาของแชมป์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล อันเป็นต้นเหตุแห่งความตกต่ำ คือตัวผู้เล่นสำคัญๆ ที่ดันบาดเจ็บพร้อมกันเหมือนถูกคนบนฟ้ากลั่นแกล้ง

    ลองนึกดูนะครับว่าถ้า เจอร์เก้น คล็อปป์ มีตัวผู้เล่นแบบครบๆ หรือมีอาวุธครบมือเหมือน 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา พวกเขาจะตกอยู่ในสภาพนี้หรือเปล่า ???

    พวกเขาจึงไม่น่าจะใช่แชมป์เก่าที่ห่วยแตกที่สุด แต่เป็นแชมป์เก่าที่ดวงซวยที่สุดในประวัติศาสตร์ต่างหาก

บอ.บู๋

แชมป์ที่ห่วยแตกที่สุด?

อีกหนึ่งช่องทางในการติดตามข่าวสาร

Add friend ที่ @Siamsport