รีวิว iPad (รุ่นที่ 10) ดีไซน์ใหม่ สีสวยสะดุดตา พร้อมจอภาพ Liquid Retina 10.9 นิ้ว

รีวิว iPad (รุ่นที่ 10) กับดีไซน์ใหม่เป็นครั้งแรกของตระกูล “iPad” กับหน้าจอเต็มทั้งหมดไร้ปุ่ม Home รองรับ Apple Pencil (รุ่นที่ 1) วาดหรือเขียนได้เต็มที่ พร้อมสีสันสดใสสวยสะดุดตา และ iPadOS 16 ที่มาพร้อมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การทำงานทุกความต้องการ

สรุปสเปค iPad (รุ่นที่ 10) Wi-Fi

  • ขนาดตัวเครื่อง : 248.6 x 179.5 x 7.0 มม.
  • น้ำหนัก : 477 กรัม
  • หน้าจอแสดงผล Liquid Retina แบบ LED ขนาด 10.9 นิ้ว ความละเอียด 2360 x 1640 พิกเซล, 264PPI, ความสว่าง 500 นิต รองรับแสดงผลแบบ True Tone และ Apple Pencil (รุ่นที่ 1)
  • หน่วยประมวลผล : A14 Bionic แบบ 6 คอร์
  • ROM : 64/256GB
  • กล้องถ่ายรูปด้านหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8
  • กล้องหน้า Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 มุมมองภาพ 122 องศา
  • ระบบปฏิบัติการ iPadOS 16
  • รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 (802.11ax), Bluetooth 5.2, Touch ID, ลำโพงสเตอริโอ Dolby Atmos และพอร์ต USB Type-C
  • แบตเตอรี่ความจุ 28.6kWh และดูวิดีโอได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง

แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล

ตัวกล่องของ iPad รุ่นที่ 10 ใช้รูปแบบของหน้าจอแบบเต็มของ iPad และสีสันสวยงามที่ตรงกับตัวเครื่อง รวมถึงโลโก้ Apple ด้านข้างตัวเครื่องที่จะเป็นสีเครื่องเช่นกันครับ อย่างสีเหลืองของเราก็จะมีหน้าจอและโลโก้สีเหลืองชัดเจนครับ ขณะที่ส่วนอื่นของตัวกล่องจะเป็นสีขาวตาปมกติครับ

โดยอุปกรณ์ภายในกล่องที่มีมาให้ มีดังนี้

  • ตัวเครื่อง iPad รุ่นที่ 10
  • สายชาร์จ USB Type‑C (ยาว 1 เมตร)
  • อะแดปเตอร์ USB Type‑C กำลังไฟ 20W
  • สติ๊กเกอร์ Apple 2 ชิ้น
  • คู่มือการใช้งานเบื้องต้น

ดีไซน์ใหม่ของตระกูล iPad

iPad รุ่นที่ 10 เป็นการปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ทั้งหมดของ “iPad Gen” ที่ได้ตัดปุ่ม Home ออกไป พร้อมได้เปลี่ยนให้ Touch ID ไปฝังรวมอยู่ที่ปุ่ม Power หน้าจอที่ได้จะออกมาแบบเต็มสัดส่วน

ตัวเครื่องของ iPad รุ่นที่ 10 จะเป็นขอบแบนเรียบทั้ง 4 ด้านพร้อมความโค้งในมุมทั้ง 4 ด้านช่วยให้ถือใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ฝาหลังก็ยังเป็นแบบผิวด้าน ไม่ลื่น และติดรอยนิ้วมือได้ยากมากๆ ยกเว้นในส่วนของโลโก้ของ Apple ที่เป็นพื้นผิวสะท้อน และด้านล่างจะระบุชื่อรุ่นชัดเจนว่าเป็น “iPad” ครับ

สีสันสดใส แค่มองก็รู้ว่าเป็น “iPad รุ่นที่ 10”

iPad รุ่นที่ 10 สีเหลืองที่อยู่ในมือเราจัดว่าเป็นสีที่ทำให้เหลืองแบบสดใสแบบสะดุดตามาก ซึ่งสีเหลืองอาจไม่ใช่เหลืองแบบอ่อนๆ แต่จะดูเหมือนสีเหลืองที่อมเข้มเล็กๆ แค่มองเห็นก็รู้แล้วว่านี่คือ iPad รุ่นที่ 10 รุ่นใหม่ครับ ใครที่ชอบสีเหลืองน่าจะมองกันไม่หยุดเลยทีเดียว

จอใหญ่สดใส ออกแบบใหม่หมดของ iPad

อย่างที่เราเคยบอกก่อนหน้านี้ว่า iPad รุ่นที่ 10 นั้นออกแบบหน้าจอใหม่ทั้งหมด ทำให้มีพื้นที่ในการใช้งานมากขึ้น จะจด วาด หรือเขียน ก็ทำได้เต็มที่แน่นอน ซึ่งหน้าจอจะได้ความสดใสแบบ Liquid Retina แบบ LED ขนาดใหญ่ 10.9 นิ้ว มีความละเอียดอยู่ที่ 2360 x 1640 พิกเซล, 264PPI และหน้าจอจะมีความสว่างสูงสุด 500 นิต

ส่วนใครที่จะรับชมวิดีโอหรือภาพยนตร์ผ่านสตรีมมิ่งต่างๆ ก็รองรับคอนเทนต์แบบ Dolby Vision และ HDR10 ได้สีสันที่สดใสและตรงมากที่สุดเท่าที่หน้าจอ Liquid Retina จะทำได้

นอกจากนี้ iPad รุ่นที่ 10 ยังรองรับเทคโนโลยีหน้าจอ True Tone เพื่อให้รับชมเนื้อหาต่างๆ ได้สบายตาทุกสภาพแสง

พาชมรอบเครื่อง

iPad รุ่นที่ 10 นั้นจะเน้นการใช้งานแนวนอน เราเลยขอพาชมรอบเครื่องในแนวนอนแล้วกันนะครับ โดยที่เหนือหน้าจอจะเป็นกล้องหน้า Ultra-Wide 12MP และไมโครโฟนตัวที่ 1 ที่อยู่ข้างกันครับ

ด้านบนตัวเครื่องจะมีปุ่มเพิ่มและลดเสียง (ถ้าเป็นรุ่น Wi-Fi + Cellular จะมีช่องใส่ Nano-SIM มาให้ที่ด้านนี้)

ด้านซ้ายตัวเครื่องจะมีลำโพง พร้อมกับปุ่ม Power และมีเซ็นเซอร์ Touch ID สำหรับสแกนลายนิ้วมือ

ส่วนด้านขวาจะมีลำโพงอีก 1 ตัว และตรงกลางก็จะเป็นพอร์ต USB Type-C ที่ใช้เป็นครั้งแรกใน iPad

สำหรับด้านล่างของ iPad รุ่นที่ 10 จะเป็น Smart Connector เพื่อเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ด Magic Keyboard Folio

และที่ด้านหลังจะมีกล้อง 12MP มาให้ 1 เลนส์ พร้อมไมโครโฟนตัวที่ 2

ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน

ระบบปฏิบัติการ

iPad รุ่นที่ 10 แกะกล่องมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iPadOS 16 ที่เป็น OS รุ่นล่าสุด ซึ่งฟีเจอร์ที่ให้มาในเวอร์ชันนี้ครบถ้วนมากๆ โดยเฉพาะการใช้งานแบบหลายหน้าจอ (Multi-Windows)

ใช้หลายแอปได้พร้อมกันได้ง่ายขึ้นมาก

ใครที่ต้องการใช้แอปพลิเคชั่นหลายแอปไปพร้อมกัน ใน iPadOS 16 ทำได้ง่ายขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโน๊ตต่างๆ วาดรูป การดูข้อมูลหลายหน้าต่างพร้อมกัน ทั้งยังสลับแอปพลิเคชั่นต่างๆ ได้ไหลลื่นสุดๆ

โดยการใช้งานหลายหน้าต่างก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่เปิด 1 แอปขึ้นมารอไว้ จากนั้นให้ปัดขึ้นและค้างจากด้านล่างเพื่อให้ Dock แสดงขึ้นมา จากนั้นเราก็ลากอีก 1 แอปไปไว้ที่ขอบฝั่งใดฝั่งหนึ่งได้เลยทันทีครับ

ทั้งนี้ เรายังเปิดแอปในหน้าต่าง Pop-Up ขึ้นมาได้อีก 1 แอป เพียงแค่ปัดขึ้นและค้างไว้เพื่อให้ Dock ขึ้นมา จากนั้นก็ลากอีกแอปขึ้นมาไว้ตรงกลางหน้าจอ เพียงเท่านี้เราก็จะได้หน้าต่างอีกแอปขึ้นมาให้ใช้งานกันแบบต่อเนื่อง

ปลดล็อคได้ง่ายด้วย Touch ID

iPad รุ่นที่ 10 เป็นรุ่นแรกของกลุ่ม iPad รุ่นปกติที่ใช้ปุ่ม Touch ID มาไว้ตรงปุ่ม Power ครับ โดยความแม่นยำและความเสถียรของการใช้งานไม่ต่างจากปุ่ม Touch ID ที่ปุ่ม Home ในรุ่นก่อนเลยครับ

พอร์ต USB Type-C ใช้งานได้ง่ายขึ้นมาก

ใน iPad รุ่นที่ 10 เป็นรุ่นแรกของ iPad รุ่นเริ่มต้นที่ให้พอร์ต USB Type-C ซึ่งน่าจะถูกใจใครหลายคนเลยทีเดียว อย่างแรกคือไม่ต้องพกสายที่เป็นพอร์ต Lightning แล้ว เพราะอุปกรณ์ทุกอย่างของ Apple ก็ปรับมาใช้พอร์ตนี้กันจนหมด รวมไปถึงการเชื่อมต่อกับ USB Drive ที่เป็น USB-C ก็ยังถ่ายโอนไฟล์ได้ แต่ความเร็วอาจจะยังเท่า Lightning อยู่เหมือนเดิม ส่วนถ้าเป็น External Harddisk จากที่ลองยังเชื่อมต่อไม่ได้กับ iPad รุ่นที่ 10

ทำงานร่วมกันได้แบบเรียลไทม์ด้วย Freeform

สำหรับ Freeform จะเป็นแอปพลิเคชั่นที่เหมือนกับบอร์ดเขียนงานเพื่อให้เราและเพื่อนๆ ได้แชร์ความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ และเห็นการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลด้วยกันได้ทันทีแบบเรียลไทม์ ทั้งยังรองรับการเขียนผ่าน Apple Pencil รวมไปถึงการแชร์ลิงก์ เอกสาร วิดีโอ ภาพ และเสียงได้ทั้งหมดครับ

ที่สำคัญผู้ใช้งานทุกคนยังใช้งานได้ผ่านทั้ง iPad, iPhone หรือ Mac ได้ทั้งหมด โดยหน้าต่างการทำงานจะปรับให้เหมาะสมกับแต่ละอุปกรณ์โดยอัตโนมัติครับ

Live Text คัดลอกหรือแปลข้อความได้ทันทีบนรูปภาพหรือวิดีโอ

ด้วยความแรงของการใช้ชิป A14 Bionic ทำให้ iPad รุ่นที่ 10 ใช้งาน Live Text ได้เหมือนกัน เมื่อเราต้องการคัดลอก / แปล / ค้นหา ประโยคที่อยู่ในรูปภาพหรือวิดีโอก็เพียงแค่ให้กดค้างที่ประโยคนั้นเอาไว้

แยกวัตถุจากพื้นหลังได้ด้วย Visual Lookup !!

ในฟีเจอร์นี้ต้องใช้กับชิป A12 Bionic ขึ้นไป ซึ่งแน่นอนว่า iPad รุ่นที่ 10 ก็ใช้ได้แบบสบายๆ ใครที่ต้องการแยกวัตถุออกจากพื้นหลังก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่แตะค้างที่วัตถุที่ต้องการ จากนั้นก็สามารถคัดลอกหรือแชร์ต่อได้เลยทันที

ลำโพงสเตอริโอเสียงกระหึ่ม

ใครที่มาสายความบันเทิงที่ต้องการดูเนื้อหาที่เต็มอรรถรสมากขึ้น iPad รุ่นที่ 10 ก็ตอบโจทย์ได้เหมือนกัน โดยลำโพงจะให้มาเป็นสเตอริโอ รองรับระบบเสียง Dolby Atmos ให้ความกระหึ่มและมีมิติมากขึ้น ส่วนเรื่องความดังก็ถือว่าทำได้ดีในระดับของ iPad ครับ

รองรับมาตรฐาน Wi‑Fi 6

iPad รุ่นที่ 10 รองรับมาตรฐาน Wi-Fi 6 ที่ใช้งานได้เสถียรและเชื่อมต่อได้ไหลลื่นมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะในการเล่นเกมแบบออนไลน์ที่ใช้อินเทอร์เน็ตแบบเสถียรก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนเวลาเล่นจริงๆ

อุปกรณ์เสริมใช้งานได้ครบถ้วน

อุปกรณ์เสริมสำหรับการใช้งานใน iPad รุ่นที่ 10 ก็มีให้เลือกกันตามใจชอบเพื่อให้ใช้งานหรือทำงานสะดวกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Apple Pencil รุ่นที่ 1, เคส Smart Folio และคีย์บอร์ด Magic Keyboard Folio

วาด ลงสี และขีดเขียนได้ครบทั้งหมดด้วย Apple Pencil (รุ่นที่ 1)

หน้าจอของ iPad รุ่นที่ 10 รองรับการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil (รุ่นที่ 1) ที่เหมาะมากๆ กับนักเรียนหรือนักศึกษาที่ใช้ในการจด เขียน หรือวาดรูปได้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจากที่ลองใช้เขียนก็ไม่รู้สึกอาการดีเลย์หรือความหน่วงที่เกิดขึ้นเลยครับ ถือว่าทำได้ดีเกือบจะเรียลไทม์เลยทีเดียว

ส่วนวิธีชาร์จก็อาจจะต้องมีหัวแปลง USB-C to Apple Pencil โดยเฉพาะ เพื่อเสียบหัว Lightning เข้ากับ Apple Pencil (รุ่นที่ 1) และใช้สาย USB-C to USB-C เข้ากับตัวเครื่อง iPad อีกทีหนึ่ง โดยการชาร์จก็รอไม่นานเลย จากที่ชาร์จตั้งแต่ 0% จนถึง 100% ก็ใช้ไปประมาณ 20 นาทีเท่านั้น

Magic Keyboard Folio พิมพ์ได้อย่างสะดวกและมีแทร็คแพด

iPad รุ่นที่ 10 รองรับการใช้งานร่วมกับ Magic Keyboard Folio เพื่อใช้เหมือนกับโน้ตบุ๊คกันไปเลย การใช้งานก็เพียงแค่ติดตัวเครื่องกับส่วนฝาหลังด้วยแม่เหล็กและตัวคีย์บอร์ดผ่าน Smart Connector (มี 2 ส่วนแยกกัน) เพียงเท่านี้ก็ใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องทำอะไรเลยครับ

ทั้งนี้ตัวเคสก็สามารถปรับองศาได้ตามใจชอบและตามความถนัดเลยครับ หรือหากใครไม่ใช้คีย์บอร์ดในตอนนั้นก็ถอดออกมาเพื่อใช้แค่ส่วนของฝาหลังสำหรับใช้เป็นขาตั้งได้

การใช้งานถือว่าใกล้เคียงกับการใช้โน๊ตบุ๊คจริงๆ ทั้งตัวแป้นที่มีระยะห่างกำลังดีและให้ความรู้สึกการสัมผัสเวลาพิมพ์ก็ทำได้ดีด้วย รวมไปถึงการใช้งานแทร็คแพดที่หากใครใช้ MacBook อยู่แล้วก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกันเลย และยังได้ปุ่มฟังก์ชันถึง 14 ปุ่มแถวบนมาให้ใช้กันครบ เช่น ESC, การลดเสียง, เพิ่มเสียง, ปรับความสว่าง และเปิดหน้าต่างแอปพื้นหลัง เป็นต้น

Smart Folio เบาบางพร้อมปกป้องได้ทั้งด้านหน้าและหลัง

หากใครที่ไม่ใช้ Magic Keyboard Folio ก็ยังมีเคส Smart Folio มาให้ใช้งานเหมือนกัน โดยจะเน้นเรื่องความเบาและบางต่างจาก Magic Keyboard Folio ที่จะมีความหนักพอตัว ทั้งนี้ Smart Folio ยังปกป้องตัวเครื่องทั้งด้านหน้าจอและฝาหลังโดยยึดติดผ่านตัวแม่เหล็ก

นอกจากนี้ เราก็ยังพับ Smart Folio เป็นขาตั้งรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานได้เลย

ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่

ขุมพลัง A14 Bionic เป็นชิปที่เข้ามาขับเคลื่อนใน iPad รุ่นที่ 10 ซึ่งเป็นชิปที่ใช้ใน iPhone 12 Series ด้วย โดยความแรงก็ยังคงใช้งานได้ยอดเยี่ยมในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ CPU 6 คอร์ แรงขึ้นกว่า iPad รุ่นที่ 9 ถึง 20%, มี GPU 4 คอร์, Neural Engine อีก 16 คอร์ และมีทรานซิสเตอร์ 1.18 หมื่นล้านตัวทำให้การประมวลผลไม่ว่าจะใช้งานทั่วไปหรือเล่นเกมกราฟิกหนักๆ ก็ยังทำได้สบายๆ เหมือนเดิม

ผลคะแนนการทดสอบด้านประสิทธิภาพด้าน CPU, GPU และหน่วยความจำบน AnTuTu 9.1.2 ได้มาที่ 700,851 คะแนน

ผลคะแนนการทดสอบด้านประสิทธิภาพด้าน CPU บน Geekbench 5 ได้คะแนน Single-Core ที่ 1,587 และ Multi-Core ที่ 3,877

ทดสอบการเล่นเกม

RoV

เปิดกันด้วยเกมเบาๆ อย่าง RoV ที่ปรับกราฟิกได้สูงสุดทั้งหมดตามสไตล์ของอุปกรณ์ Apple โดยการเล่นก็ทำได้ไหลลื่น กดติดนิ้วสุดๆ และแม้ว่าจะเป็นหน้าจอ 60Hz แต่การใช้ตอนเล่นเกมนั้นดูจะสมูธเกินไปอีกตามความรู้สึกครับ

Asphalt 9: Legends

เกมกราฟิกที่แรงขึ้นมาอย่างเกมแข่งรถ Asphalt 9: Legends เป็นเกมที่ฝั่งอุปกรณ์ Apple ไม่ต้องปรับภาพอะไรเลยครับ เพราะเริ่มต้นก็ได้ระดับสูงอยู่แล้ว และการเล่นทำได้ไหลลื่นมากๆ การกดปุ่มต่างๆ ก็ตอบสนองได้ไวครับ

Genshin Impact

และสุดท้ายกับ Genshin Impact ที่น่าจะเป็นหนึ่งในเกมที่กินกราฟิกมากที่สุดในปัจจุบันก็ว่าได้ครับ ก็สามารถปรับทุกอย่างได้สูงสุด และยังเปิดเฟรมเรทได้สูงสุดที่ 60fps อีกด้วย บอกเลยว่าชิป A14 Bionic เล่นทั้งวันยังไหว !!

แบตอึดใช้งานต่อเนื่องนานสุด 10 ชั่วโมง

iPad รุ่นที่ 10 ที่ใช้ชิป A14 Bionic ก็ยังคงเป็นหนึ่งในชิปที่ทำงานร่วมกับ iPadOS 16 ได้อย่างเสถียร ทำให้แบตเตอรี่อยู่ได้นาน โดยเราสามารถดูวิดีโอหรือใช้งานผ่านเบราว์เซอร์ได้นานสูงสุดถึง 10 ชั่วโมง

กล้องอัปเกรดขึ้น ถ่าย 4K@60fps ได้ พร้อมกล้อง FaceTime รองรับ Center Stage

iPad รุ่นที่ 10 มีการอัปเกรดจากเดิม โดยกล้องหลังจะมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซึ่งจะถ่ายภาพนิ่งได้คมชัดตามสไตล์ของ iPad ครับ

และด้วยพลังของชิป A14 Bionic ทำให้รองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K ที่ 60fps ได้แบบสบายๆ พร้อมตัดต่อผ่าน iMovie ได้เลยในเครื่องครับ

ทั้งนี้ในเรื่องของกล้องหน้า FaceTime ก็ได้โฉมใหม่ทั้งหมดบน iPad เป็นกล้องหน้าแบบ Ultra-Wide สามารถถ่ายภาพนิ่งในมุมกว้างหรือมุมมองปกติได้ตามใจชอบ

  • มุมมองปกติ / มุม Ultra-Wide

และประโยชน์จากกล้องหน้าที่เป็นมุมกว้างก็รองรับฟีเจอร์จัดให้อยู่ตรงกลาง (Center Stage) เพื่อให้เราอยู่ตรงกลางตลอดเวลาเวลาขยับซ้ายหรือขวา โดยฟีเจอร์นี้รองรับทั้งการโทร FaceTime และประชุมทางวิดีโอครับ

สรุปการใช้งาน iPad รุ่นที่ 10

จากที่ได้ลองใช้งาน iPad รุ่นที่ 10 แบบจริงจัง นับว่าเป็นรุ่นที่ “ดีกว่าที่คิดไว้มาก” ด้วยการเป็น iPad รุ่นเริ่มต้นที่ยังได้ความแรงระดับท็อปอยู่ในปัจจุบัน ใช้งานได้ไหลลื่น เล่นเกมกราฟิกหนักได้สบายๆ พร้อมกับแบตเตอรี่ที่อึดตามไปด้วย ทั้งนี้ ด้วยการที่ได้ iPadOS 16 เข้ามารันระบบก็ทำให้ฟีเจอร์ที่เน้นการทำงานหรือเรียนครบถ้วนเลยทีเดียว ประกอบกับการรองรับ Apple Pencil (รุ่นที่ 1) แต่ก็มีข้อสังเกตในการใช้ร่วมกับตัวแปลงเวลาชาร์จ และอีกสิ่งที่ชอบเลยคือตัวเลือกสีที่เข้ามาเพิ่มเติมเยอะมาก ใครชอบสีไหนที่บอกถึงตัวตนก็เลือกได้ตามใจชอบเลยครับ

ราคาวางจำหน่าย

iPad รุ่นที่ 10 มีทั้งหมด 4 สี ได้แก่ ฟ้า, ชมพู, เงิน และเหลือง เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วทั้งรุ่น Wi-Fi และ Wi-Fi + Cellular โดยราคาทั้งหมดในแต่ละรุ่นมีดังนี้

  • ความจุ 64GB (Wi-Fi) : 17,900 บาท
  • ความจุ 64GB (Wi-Fi + Cellular) : 23,900 บาท
  • ความจุ 256GB (Wi-Fi) : 23,900 บาท
  • ความจุ 256GB (Wi-Fi + Cellular) : 29,900 บาท