รีวิว iPhone 14 Pro Max กับ 3 สัปดาห์ผ่านไป ยังว้าวอยู่รึเปล่า !?

รีวิวฉบับเต็ม iPhone 14 Pro Max หลังจากผ่านมา 3 สัปดาห์ ยังคงว้าวอยู่รึเปล่า !? รอบนี้ Apple อัปเกรดฟีเจอร์และจุดเด่นขึ้นมาหลายจุดเลย ทั้งหน้าจอใหม่ที่มาพร้อม Dynamic Island, ชิปเซ็ตใหม่ Apple A16 Bionic ตัวแรง, กล้องหลังใหม่ 48MP หรือกระทั่งสีใหม่ Deep Purple ม่วงเข้มที่เราคงได้เห็นกันมาพอสมควรแล้ว ในเรื่องการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร แล้วถ้าใช้ iPhone 13 Pro Max อยู่ ควรอัปเกรดไหม รีวิวนี้บอกให้หมด พร้อมแล้วติดตามครับ!

สรุปสเปค iPhone 14 Pro Max

  • ขนาดตัวเครื่อง : 160.7 x 77.6 x 7.85 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก : 240 กรัม
  • หน้าจอ : Super Retina XDR OLED กว้าง 6.7″ ความละเอียด 2796 x 1290 พิกเซล
  • Refresh rate : 120Hz ProMotion Display
  • ชิปเซ็ต : Apple A16 Bionic (4nm)
  • RAM : 6GB
  • แบตเตอรี่ : 4323mAh
  • ระบบชาร์จไว : 27W
  • ความจุ : 128GB/256GB/512GB/1TB
  • กล้องหน้า : TrueDepth 12MP f/1.9
  • กล้องหลัง : 3 ตัว
    • กล้องหลัก 48MP f/1.78 พร้อม Sensor-Shift OIS รุ่นที่ 2
    • กล้อง Ultra Wide 12MP f/2.2
    • กล้อง Tele 3X 12MP f/7.8
    • LiDAR Scanner
  • รองรับการเชื่อมต่อ : Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, Bluetooth 5.3, NFC และพอร์ต Lightning
  • ระบบปฏิบัติการ : iOS 16

หน้าจอแบบใหม่กับเกาะหรรษา Dynamic Island

อย่างแรกที่ต้องพูดถึงเลยก็คือ Dynamic Island เกาะใหม่ที่มาแทนที่รอยบากจนได้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องหน้าจอแบบครั้งใหญ่ของ iPhone รุ่น Pro เลยก็ว่าได้ครับ สร้างความแตกต่างในแว้บแรกที่มองได้แบบจริง ๆ ครับ เพราะใครที่เคยชินกับรอยบากเต็ม ๆ บนหน้าจอของ iPhone มานาน การที่เปลี่ยนมาใช้ทรงแคปซูลแบบนี้ก็รู้สึกถึงความสดใหม่ไม่น้อย

บนรูกล้องนี้จะซ่อนเซ็นเซอร์ Face ID กับกล้อง TrueDepth อยู่เพื่อให้ใช้งานสแกนใบหน้าได้อย่างแม่นยำและปลอดภัยเหมือนเดิม แต่ก็แลกมากับความใหญ่ของสีดำที่ลอยอยู่ด้านบนเหมือนกันครับ (พอเข้าใจรึยังว่าทำไมถึงเรียกเกาะ)

ดีไซน์ที่คุ้นเคยกับขนาดที่เต็มไม้เต็มมือ

แต่ถ้าไม่รวม Dynamic Island เราว่าดีไซน์ของ iPhone 14 Pro Max ก็แอบทำให้ผิดหวังอยู่นิดหน่อยครับ เพราะไม่ได้มีการเปลี่ยนดีไซน์แบบ Major Change เลย เรายังคงเห็นตัวเครื่องกรอบเหลี่ยมเหมือนเดิมหน้าจอและฝาหลังเป็นแบบ Flat เหมือนเดิม บนรุ่น Pro ก็ยังคงเลือกใช้กรอบเครื่องเป็นสแตนเลสสตีลที่เก็บคราบรอยนิ้วมือได้ง่ายเหมือนเดิมครับ

ซึ่งเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะถ้าใครที่ใช้ iPhone รุ่นโปรมาแต่ไหนแต่ไรก็คงจะชินได้แล้ว เพราะสุดท้ายก็ใส่เคสกันไม่ได้สัมผัสตัวเครื่องจริง ๆ ให้เกิดคราบรอยนิ้วมือกันอยู่ดีเนาะ น้ำหนักของตัวเครื่องก็ยังหนัก 240 กรัมเหมือนเดิม แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าใครที่ใช้งานรุ่น Pro Max มาก็ตรงนี้ก็คงไม่ใช่ปัญหาจริง ๆ นั่นแหละ

สีใหม่ Deep Purple ถือแล้วรู้ว่านี่แหละของใหม่

อย่างที่บอกว่าดีไซน์ของ iPhone 14 Pro Max นั้นไม่ต่างจากรุ่นก่อนมากนัก การจะทำให้รู้ว่าเครื่องเราคือเครื่องใหม่ก็อาจเป็นตัวเลือกสีใหม่ที่มีเฉพาะปีนี้แทน อย่างสี Deep Purple ที่เราได้มารีวิวก็คือสีใหม่ที่ออกมาสวยงามใช้ได้เลย เป็นม่วงที่ดูหรูดูแพง ใช้ได้ทั้งผู้ชาย ผู้หญิงเลยครับ

ไหน ๆ ก็พลิกมาดูที่ด้านหลังแล้ว ขอพูดถึงดีไซน์กล้องหลังไปด้วยเลยเนอะ Apple ยังคงเลือกใช้ดีไซน์กล้อง 3 ตัวเหมือนเดิม แต่รอบนี้สังเกตได้เลยว่าตัวกล้องใหญ่ขึ้นมาก แถมยังนูนขึ้นมาอีกเยอะด้วยเซ็นเซอร์กล้องที่อัปเกรดขึ้นมาก็พอเข้าใจได้ แต่จุดที่เราแอบขัดใจบนรุ่นนี้ เอ๊ะ…จริง ๆ ก็ตั้งแต่ 12 Pro Max แล้วมั้ง คือเรื่องของฝุ่นที่สะสมได้ง่ายบริเวณนี้ และทำความสะอาดได้ยากด้วย แถมรุ่นนี้เลนส์กล้องยังนูนและใช้พื้นที่มากขึ้น ก็เลยเก็บฝุ่นหนักเข้าไปอีก

หน้าจอ Super Retina XDR ที่สว่างขึ้นกว่าเดิม

กลับมาพูดถึงเรื่องหน้าจอกันอีกสักหน่อย iPhone 14 Pro Max มาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาด 6.7″ ในเรื่องความเต็มตาไม่ต้องพูดถึงครับใหญ่สะใจตามสไตล์รุ่น Pro Max อยู่แล้ว ขอบหน้าจอรอบนี้ปรับให้ชิดขึ้นอีกหน่อยด้วย ในเรื่องสีสันก็อยู่ในระดับท็อปสุดของวงการไปแล้วไม่ต้องห่วงเลยจริง ๆ

ดูเผิน ๆ อาจจะไม่ได้ต่างไปจากรุ่นก่อนมากนัก แต่ก็มีเรื่องที่อัปเกรดขึ้นมาอยู่ด้วยคือความสว่างนั้นเองครับ รุ่นนี้ Apple เคลมว่าสามารถใช้งานกลางแจ้งได้ในความสว่างถึง 2000nits ซึ่งถือเป็นข้อดีในการใช้งานกลางแจ้งได้ดีขึ้นจริง ๆ รวมถึงการลดแสงในที่มืดก็รู้สึกว่าสามารถใช้งานได้สบายตากว่าเดิมอีก

ในเรื่องการตอบสนอง iPhone 14 Pro Max ก็ได้ Refresh rate สูง 120Hz หรือ ProMotion เหมือนเดิม การใช้งานลื่นไหลอย่างมาก ไม่ว่าเราจะเลื่อนหน้าจอหรือเข้าแอปต่าง ๆ ก็รู้สึกได้เลย แถมรอบนี้ยังเป็นจอ LTPO ที่สามารถปรับ Refresh rate ได้ตั้งแต่ 1 – 120Hz อีกด้วย

Always On Display ครั้งแรกบน iPhone

และด้วยเป็นจอ LTPO ทาง Apple จึงเลือกใส่ฟีเจอร์ Always On Display (AOD) มาให้เสียที เป็นครั้งแรกของ iPhone เลยก็ว่าได้ครับ ความพิเศษของ AOD บน iPhone ก็คือหน้าจอจะไม่ได้ดำสนิทแล้วมีตัวเลขหรือไอคอนสีขาวขึ้นมาเท่านั้น แต่จะเป็นการ Dim แสงของภาพ Wallpaper ในหน้า Lockscreen ให้มืดลงเท่านั้นครับ

เท่าที่เราลองใช้บอกเลยว่าเป็น Always On ที่สว่างมาก ยิ่งถ้า Wallpaper ที่เราใช้ทีสีสันเยอะ ๆ นี่เด่นเลย ทำให้มักจะสับสนตลอดว่านี่เราล็อคจอไปรึยังนะ กดปุ่ม Power อีกทีก็กลายเป็นปลุกจอขึ้นมาซะอย่างงั้น ตรงนี้แอบขัดใจนิด ๆ ยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่ แต่ที่เราชอบก็มีนะ คือฟีเจอร์นี้จะเล่นกับ Wallpaper ได้เก่งมาก เช่น ปกติเราจะตั้ง Wallpaper แบบ Depth Effect ที่ตัวคนทับนาฬิกาอยู่ พอเราล็อคจอให้เป็น AOD นาฬิกาจะสลับตำแหน่งขึ้นมาอยู่ด้านหน้าแทน ดูมีมิติมากในการใช้งานครับ

สว่างขนาดนี้แล้วไม่กินแบตฯเหรอ !? ด้วยความเป็นจอ LTPO ทาง Apple เคลมว่าเมื่อฟีเจอร์นี้ทำงาน Refresh rate จะปรับลดเหลือ 1Hz จึงไม่กินแบตเตอรี่เท่าไหร่นักครับ เท่าที่เราลองเปิดการใช้งานก็ไม่ได้กินเยอะมากมายอะไรครับ ชม.ละ 1% ได้อยู่

พอร์ตชาร์จยังเป็น Lightning นะ

รอบ ๆ ตัวเครื่องก็เหมือนเดิมอย่างที่บอกไป ซึ่งพอร์ตการเชื่อมต่อของ iPhone 14 Pro Max ยังคงเป็นพอร์ต lightning เหมือนเดิม ข้อดีก็คือใครที่ใช้ iPhone อยู่ก่อนแล้ว ไม่ว่าจะรุ่นไหนก็แทบไม่ต้องแกะที่สายชาร์จออกมาใช้เลย ใช้ชุดเดิมได้หมด ไม่มีแถมที่ชาร์จก็ใช้ของเก่าไปก่อนได้ แต่ข้อเสียคือการถ่ายโอนข้อมูลยังช้าอยู่มาก ใครที่ต้องเสียบสายเพื่อโอนไฟล์อาจจะต้องหงุดหงิดหน่อยถ้าไฟล์เยอะ ๆ อะเนอะ

รุ่นที่ขายในบ้านเรายังคงมีถาดซิมมาให้ใส่ใช้งานปกตินะครับ ต่างจากรุ่นที่เปิดตัวในสหรัฐที่เปลี่ยนมาใช้แบบ eSIM ล้วน ๆ แล้ว ซึ่งช่องใส่ซิมของ iPhone 14 Pro Max ยังอยู่ที่ฝั่งซ้ายมือถัดลงมาจากปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงครับ

โดยรวมในเรื่องดีไซน์ นอกจากหน้าจอที่เพิ่มเกาะ Dynamic Island, กล้องหลังที่ใหญ่อลังการขึ้นและสีใหม่ Deep Purple แล้ว ก็แทบไม่มีอะไรแตกต่างไปจากรุ่นก่อนมากนัก ทั้งขนาด-น้ำหนักหรือฟิลลิ่งการจับถือใช้งาน เรียกว่าใครที่ใช้ 13 Pro Max มาก่อนจะได้ความคุ้นชินเลยล่ะ ส่วนใครที่ใช้รุ่น 11 Pro Max หรือเก่ากว่ามาก่อนก็อาจจะชอบในดีไซน์เหลี่ยม ๆ แบบนี้ก็ได้ ให้ความรู้สึกใหม่ที่แตกต่างไปเยอะครับ

ซอฟต์แวร์ iOS 16 ลูกเล่นเยอะ

iPhone 14 Pro Max มาพร้อม iOS 16 ตั้งแต่แกะกล่อง ซึ่งมีลูกเล่นน่าสนใจมากมาย หลัก ๆ ก็คือ Lockscreen ที่ให้เราเลือกปรับแต่งได้สนุกมาก ทั้งรูปแบบฟอนต์นาฬิกา, Widget, Wallpaper หลากหลายรูปแบบ จะใส่เป็นรูปคนหรือรูปวิวพร้อม Depth Effect ให้เราเอาภาพไปบังนาฬิกาสวย ๆ เหมือนปกนิตยสารก็ได้ อันนี้ชอบมาก

หรือจะเป็นระบบสั่นบนคีย์บอร์ดที่เพิ่มเข้ามาสักทีบน iOS 16 นี้ช่วยให้เราใช้งานได้อย่างนุ่มนวลทุกการพิมพ์ เพราะระบบสั่นของ iPhone ต้องบอกว่ายอดเยี่ยมอันดับต้น ๆ ในวงการสมาร์ทโฟนอยู่แล้ว เสริมเข้ามาให้ตอบสนองเราเพิ่มในอีกมิติ นอกจากการใช้งานทั่วไปแบบเดิม ๆ

Dynamic Island เกาะหรรษานี่มันยังไงกันนะ!?

เราขอเสริมเรื่อง Dynamic Island กันอีกสักหน่อย เพราะฟีเจอร์นี้ถือว่าเป็นหนึ่งไฮไลท์ของ iPhone 14 Pro Max เลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าหน้าจอเจาะรูบนสมาร์ทโฟนไม่ใช่เรื่องใหม่ บนสมาร์ทโฟน Android ทำได้ตั้งนานแล้ว แถมเล็กกว่าเยอะด้วย แต่การมาของ Dynamic Island นี้ต้องบอกว่า Apple คิดมาดีจริง ๆ เพราะเพิ่มลูกเล่นในส่วนของ UI เข้าไปได้อย่างน่าสนใจ บวกกับความลื่นไหลของ iOS แล้วยิ่งทำให้ลงตัวขึ้นมาก ๆ

ซึ่งความลงตัวนี้ก็คือการใช้งานแอปบางอย่าง UI จะทำการเล่นกับเกาะด้านบนให้ขยายออกมาได้ อาทิ เมื่อเรากดฟังเพลง แล้วเลื่อนออกตัว UI จะเพิ่มลูกเล่นด้านบนให้เป็นอนิเมชั่นว่ากำลังเล่นเพลงอยู่ และเราก็สามารถแตะค้างด้านบนเพื่อขยายเกาะออกและสั่งงานเพิ่มเติมได้

หรือจะเป็นการแจ้งเตือนของระบบทั่วไปเช่น การสลับโหมดจาก Ring ไป Silent, การเสียบชาร์จแบตฯ, การรับ-ส่งไฟล์ด้วย AirDrop, เชื่อมต่อกับ AirPods หรือตอนสแกนใบหน้าผ่าน Face ID เป็นต้นครับ เรียกว่าช่วยให้การแจ้งเตือนต่าง ๆ ดูไม่น่าเบื่อและเป็นวิธีใหม่สุด ๆ จนทำเอาเกิดกระแสให้นักพัฒนาฝั่ง Android หลายรายทำแอปที่เลียนแบบ Dynamic Island ขึ้นแบบเพียบ ๆ เลยล่ะ

แล้วที่ใช้งานมาจริง ๆ ว้าวไหม !? หลังจากที่เราใช้งานมาหลายวันต้องบอกว่าฟีเจอร์ของ Dynamic Island นี่ดูน่าสนใจดีจริง ๆ แต่ในการใช้งานจริงแอบรู้สึกว่ายังไม่อินเท่าไหร่นัก เพราะนอกจากการสแกนใบหน้าปลดล็อค, ฟังเพลง และชาร์จแบตฯ เราก็แทบไม่เจอสถานการณ์ที่ Dynamic Island จะวูบวาบเท่าไหร่นัก เพราะตอนนี้แอปที่รองรับหรือฟีเจอร์ที่รองรับก็ยังมีแค่ของระบบเป็นหลักกับเครื่องเล่นเพลงเท่านั้นอะเนาะ คงต้องรอฟีเจอร์ Live Activities ปล่อยออกมาในอนาคตถึงจะได้ใช้เพิ่มขึ้นอีกหน่อย

นอกจากนี้ตัว UI ของ iOS 16 กับ Dynamic Island นี้เราว่ายังมีความขัดแย้งกันอยู่นิดหน่อย เพราะใน iOS 16 พยายามปรับการวางตำแหน่งใหม่ให้อยู่ที่ด้านล่างทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนใน Lockscreen, Address Bar ของ Safari หรือจะเป็นแถบเมนูต่าง ๆ ในแอปที่อยู่ด้านล่างมาแต่ไหนแต่ไร พอการมาของ Dynamic Island ที่อยู่บนสุดของจอเพิ่มขึ้นมา ทำให้เวลาใช้งานเราอาจจะต้องโฟกัสทั้งบนและล่างที่มีความห่างเยอะพอสมควร อะ…ยกตัวอย่างเช่นเราดาวน์โหลดแอปใน App Store แล้วต้องสแกนใบหน้าเพื่อยืนยัน ตาเราจะไปมองอนิเมชั่นที่เกาะด้านบน จากนั้น UI ที่ด้านล่างสุดจะขึ้นติ๊กถูก “ติ๊ง” ว่าสแกนผ่านแล้ว ซึ่งเราต้องกวาดสายตามากกว่ารุ่นก่อนที่ไอคอน Face ID ลอยขึ้นมากลางจอ พอนึกภาพออกไหมครับ

ส่วนคำถามที่หลายคนมีอยู่ว่า “การใช้งานทั่วไปรำคาญไหม ?” อันนี้เราว่ามีความใกล้เคียงกับรอยบากนะ ถ้าใครที่ใช้ไอโฟนรุ่นตั้งแต่ iPhone X ขึ้นมาอยู่แล้วก็คงไม่ได้ขัดตาสักเท่าไหร่ในการใช้งานทั่วไปในแนวตั้ง แต่ถ้าในแนวนอนก็มีบ้างในการใช้งานแสดงผลแบบเต็มหน้าจอนั่นแหละ ยิ่งถ้าเป็นอะไรที่แสดงผลในสีสว่าง ๆ ตัวเกาะนี่ก็จะเด่นขึ้นมาแบบชัดเจนทีเดียว

อย่างการดูคอนเทนต์หรือวิดีโอ ถ้าเป็นคลิปแบบ 16:9 บน YouTube ทั่วไปอันนี้ไม่มีปัญหาเพราะจะเหลือขอบดำด้านข้างอยู่แล้ว ตรงนี้ตั้งแต่รุ่นที่มีรอยบากก็ไม่เจอปัญหาอะไร แต่เมื่อไหร่ที่เราขยายหน้าจอเต็มหรือดูวิดีโอที่มีสัดส่วนมากกว่า 16:9 แล้วล่ะก็ตัวเกาะจะโผล่ขึ้นมาทันที แรก ๆ เราอาจจะไม่ชินนักแต่หลังจากใช้มาสักระยะก็รู้สึกว่า โอเค…ตอนรอยบากยังอยู่มาได้ อันนี้ก็ไม่ได้ต่างกันนัก จริงไหม !?

Face ID สแกนใบหน้าแม่นยำและปลอดภัย

บน Dynamic Island จะมีเซ็นเซอร์ Face ID อย่างที่บอกไป ซึ่งเป็นระบบสแกนใบหน้าที่แม่นยำและปลอดภัยที่สุด ซึ่งในเวอร์ชั่นหลัง ๆ ของ iOS ก็มีฟีเจอร์สแกนใบหน้าพร้อมใส่หน้ากากอนามัยได้แล้ว แต่เท่าที่เราลองก็ยังมีหลายครั้งที่สแกนไม่ผ่านอยู่บ้าง ถ้ามีระบบสแกนลายนิ้วมือมาให้ด้วยก็น่าจะสะดวกกว่านี้อะเนอะ ตรงนี้แอบเสียดายที่ Apple เลือกใช้เพียงระบบเดียวน่ะเนอะ

กล้องหลังใหม่ 48MP มาแล้ว!

ไฮไลท์อีกอย่างของ iPhone 14 Pro Max รอบนี้ก็คือ “กล้อง” ครับ รอบนี้ Apple อัปเกรดครั้งใหญ่เปลี่ยนกล้องหลักให้มีความละเอียดสูงสุดที่ 48MP เสียที หลังจากที่ใช้ความละเอียด 12MP มาอย่างยาวนาน สำหรับสเปคกล้องคร่าว ๆ จะมีดังนี้ครับ

  • กล้องหลัก 48MP f/1.78, Dual-Pixel PDAF, ระบบกันสั่น Sensor-Shift รุ่นที่ 2
  • กล้อง Ultra Wide 12MP f/2.2 พร้อม Autofocus ใช้งานเป็นกล้อง Macro ได้
  • กล้อง Tele 3X 12MP f/1.78, OIS

อย่างที่เห็นครับ นอกจากกล้องหลักแล้ว กล้อง Ultra Wide กับ Tele 3X ก็ยังอัปเกรดขึ้นมาอีกหน่อยด้วย ส่วนเรื่องการถ่ายภาพ iPhone ก็ยังเป็น iPhone เน้นความง่ายในการใช้งาน ผู้ใช้อย่างเราเพียงแค่เปิดกล้องกดถ่าย ๆ ได้เลย ผลลัพธ์จะมีการปรับแต่งเพิ่มเติมด้วย AI อีกนิดหน่อย

เซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้น 48MP แต่ถ่ายจริงเป็น 12MP นะ

มาพูดถึงกล้องตัวหลักกันก่อนเลย iPhone 14 Pro Max มาพร้อมกล้องหลักตัวใหม่อัปเกรดความละเอียดเซ็นเซอร์เป็น 48MP แต่ในการถ่ายภาพทั่วไป จะมีการรวมพิกเซลแบบ Quad Bayer ให้เหลือ 12MP ตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเพราะสมาร์ทโฟน Android หลายรุ่นในตลาดที่มีกล้องความละเอียดสูงใช้เทคนิคนี้กันหมด แม้ความละเอียดที่ได้ในโหมด Auto จะอยู่ที่ 12MP แต่เราจะได้ความคมชัดที่มากขึ้นนั่นเองครับ

ซูม 2X ได้คมชัด ภาพไม่แตก

บวกกับความที่เซ็นเซอร์กล้องหลักรอบนี้ใหญ่ขึ้นมาก ประมาณ 1/1.28” ใหญ่กว่าของเรือธง Android หลาย ๆ รุ่นอีก ทำให้ได้ข้อดีในเรื่องการเก็บแสงและการละลายฉากหลังที่มากกว่าเดิมด้วย ซึ่งด้วยขนาดเซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้นบวกกับความละเอียดที่มากขึ้น Apple จึงเพิ่มระยะซูม 2X เข้ามาให้เราเลือกใช้ได้สะดวกอีกด้วย เทคนิคก็คือใช้การครอปจากเซ็นเซอร์หลักเข้าไปอีกหน่อยโดยที่ภาพไม่แตก

แต่! ก็มีข้อสังเกตจากเซ็นเซอร์ใหม่ตัวนี้มีระยะโฟกัสที่ไกลมาก หมายความว่าอะไร หมายความว่าเราไม่สามารถเข้าใกล้วัตถุได้เท่ารุ่นก่อน ปกติอาจจะเคยถ่ายอาหารในระยะ 1X ได้แบบแม่นยำ แต่รอบนี้เราต้องถอยออกมาเป็นภาพกว้างกว่าเดิมหน่อยไม่งั้นอาหารจะเบลอไป จะสลับไปกล้อง Ultra Wide ใช้ Macro ก็คุณภาพดรอปลงไปอีก วิธีแก้ก็คือเราอาจจะใช้การซูมเข้าไปสัก 1.5X หรือ 2X เพื่อให้ได้ระยะพอดีและภาพไม่เบลอนั่นเองครับ เข้าใจรึยังล่ะครับว่าทำไมรอบนี้ถึงโปรโมทว่ามีระยะ 2X ให้ใช้งานด้วยนะ

ไฟล์ภาพสวยเป็นธรรมชาติตามสไตล์ iPhone

สำหรับคุณภาพของกล้องหลัก 48MP ในรอบนี้ก็ทำได้ดีสมมาตรฐานของ iPhone คือเน้นความสมจริงและเป็นธรรมชาติอย่างที่เคยเป็น รายละเอียดของภาพคมขึ้นอย่างชัดเจนหากเราซูมดูภาพแบบใกล้ ๆ ด้วยเทคนิค Quad-Bayer ที่รวมเอาพิกเซล 4 in 1 เข้าด้วยกัน ทำให้แม้เราจะได้ผลลัพธ์ภาพที่ 12MP แต่หากดูกันที่รายละเอียดจริง ๆ ก็คมชัดขึ้นมาพอสมควรเลยทีเดียวครับ โทนสีในรอบนี้แอบสมจริงขึ้น ลดสีอมเหลืองที่เคยมีมาได้ดีกว่าเดิม แต่…ตรงนี้อาจเป็นข้อเสียนิดหน่อยเพราะ ภาพที่ได้จะมีความตุ่นกว่าเดิมเล็กน้อย ถ่ายอาหารก็แอบไม่สดน่ากินนัก ถ่ายคนก็สกินโทนดูแปลกไปหน่อย ส่วนข้อดีก็คือเราสามารถไปปรับแต่งเพิ่มได้ง่ายเพราะสีค่อนข้างตรงอยู่แล้วนั่นเองครับ

กล้อง Ultra Wide คมขึ้นอีก ยังใช้เป็น Macro ได้เหมือนเดิม

ส่วนกล้อง Ultra Wide รอบนี้อัปเกรดขึ้นมาอีกขั้น แม้ตามสเปคแล้วจะไม่ได้หวือหวาขึ้นมาก ความละเอียดยัง 12MP เหมือนเดิม แต่เท่าที่เราลองใช้งานมา การประมวลผลดีขึ้นมาก ความคมของภาพในส่วนขอบภาพเพิ่มขึ้นชัดเจน ถ้าลองซูมดูแบบใกล้ ๆ จะเห็นว่ารายละเอียดดีจริง ๆ แถมการเก็บแสงก็จัดการ Noise ได้ยอดเยี่ยมอีกด้วย ส่วนที่เป็นกล้อง Macro อันนี้ถือว่าทำได้ดีขึ้นไปอีก เข้าใกล้ได้มากและเก็บรายละเอียดได้คมชัด

กล้อง Tele 3X รู้สึกว่าซูมดีขึ้นเยอะ

และกล้อง Tele เช่นเดียวกันตามสเปคจะเห็นว่าก็ยังได้ความละเอียด 12MP เหมือนเดิม ระยะ 3X เท่าเดิมด้วย แต่ที่ลองใช้งานต้องบอกว่ารอบนี้ซอฟต์แวร์เก่งขึ้นเพราะ แม้เราจะซูมไปไกลกว่าระดับ 3X ก็ยังได้ภาพที่คมชัดพอประมาณอยู่ หรืออย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือการซูมสุดที่ 15X ทำได้ดีขึ้นมาก ตรงนี้ได้อนิสงค์มาจากกล้องหลัก 48MP จริง ๆ ล่ะครับ

  • 0.5X
  • 1X
  • 2X
  • 3X
  • 15X
  • 1X
  • 10X
  • 15X

Portrait mode ถ่ายคนสวย แต่มันชัดเกินไปหน่อย

ต่อที่โหมดถ่ายคนหรือ Portrait mode บน iPhone 14 Pro Max จะมีระยะให้เลือกมากขึ้นเป็น 1X, 2X, 3X ทำให้เราได้ภาพหลายมุมมากขึ้น ซึ่ง 1X และ 2X ก็ใช้กล้องหลักในการถ่าย (แบบปกติกับครอป) ทำให้ได้คุณภาพที่ยอดเยี่ยมแม้แสงน้อย ส่วน 3X จะเป็น Tele จริง ๆ ก็อาจจะต้องพึ่งแสงมากหน่อย Portrait Lighting หรือเอฟเฟกต์แสงยังมีให้เลือกใช้งานเหมือนเดิมด้วย

คุณภาพที่ได้จากโหมด Portrait ก็ถือว่ายอดเยี่ยมครับ การตัดขอบต่าง ๆ เนียนตาเลย ได้ระยะเพิ่มขึ้นมี 2X มาอยู่ระหว่างกลางก็ช่วยให้เราเก็บภาพครึ่งตัวได้อย่างคมชัดและมีมิติ แถมรอบนี้ยังมีเอฟเฟกต์เบลอหน้าฉากหรือ Foreground ให้ด้วย เพิ่มความสมจริงขึ้นไปอีก ความคมชัดกับรายละเอียดของภาพก็คือสูงมาก ๆ จนบางครั้งแอบสูงจนเกินไป ใบหน้าของภาพจะคมแบบสุด ๆ จนบางครั้งก็รู้สึกว่าพี่จะชัดไปไหน เกลี่ยเนียน ๆ ให้หน่อยก็ได้ ส่วนสกินโทนเราว่าสีจะออกตุ่นหน่อยอย่างที่บอกไป ทำให้สาว ๆ อาจจะไม่ชอบนัก ไม่เด่นและสว่างแบบรุ่นก่อนอะนะ ทางแก้ก็อาจจะไปปรับแต่งเพิ่มเติมหรือง่ายสุดก็อาจจะเลือกเป็น Portrait Lighting เป็น Studio Light จะช่วยได้เยอะเลย

Photonic Engine ระบบประมวลผลภาพใหม่

ในส่วนของการถ่ายภาพกลางคืนหรือแสงน้อย iPhone 14 Pro Max ก็มาพร้อมระบบใหม่ที่ Apple ตั้งชื่อว่า Photonic Engine จะเป็นการเก็บภาพหลาย ๆ ภาพในเวลาเดียวกันและนำมาประมวลผลเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดที่สุด เอ…ระบบนี้ก็คุ้น ๆ เหมือน Deep Fusion เดิมเลยนี่เนอะ ใช่แล้วครับ เท่าที่เราลองก็คิดว่ามันคือเทคนิคเดียวกันนี่แหละภาพที่ได้จะมีการปรับให้คมขึ้น คอนทราสจัดขึ้น โดยเฉพาะในภาพแสงน้อยจะค่อนข้างชัดเลยทีเดียวล่ะ ซึ่งเราแอบไม่ชอบในการปรับแต่งนี้สักเท่าไหร่ เพราะภาพที่ออกมาดูแข็งเกินไป สีสันไม่สดใสเท่าไหร่

โหมด ProRAW ปลดล็อคความละเอียด 48MP จริง!

อย่างที่บอกว่าเซ็นเซอร์ของ iPhone 14 Pro Max นั้นมาพร้อมความละเอียดสูงสุดที่ 48MP แต่ในโหมด Auto ปกติเราจะได้ภาพที่ 12MP เท่านั้น ซึ่งวิธีการถ่ายความละเอียดเต็ม 48MP เราจำเป็นต้องใช้โหมด ProRAW เท่านั้นครับ วิธีการเปิดใช้งานก็ตามนี้ ซึ่งเมื่อเราเปิดใช้งาน ProRAW กล้องจะเก็บภาพเป็นไฟล์ RAW .DNG ให้เราขุดต่อได้ หรือจะครอปภาพไว้ใช้งานอื่น ๆ ก็ได้เช่นกัน แต่มีคำเตือนอยู่นิดหน่อยว่าหากเปิดโหมดนี้ภาพที่ได้จะมีขนาดใหญ่มากต่อไฟล์ราว ๆ 35 – 100MB กันเลยทีเดียว ถ้าไม่ใช่สายปรับแต่งภาพจัด ๆ ครอปภาพในบางจุดมาใช้ เน้นใช้งานทั่วไปอัปลงโซเชี่ยลก็ใช้โหมด Auto ปกติที่ 12MP เพียงพอแล้วครับ

กล้องหน้า 12MP พร้อม Autofocus

มาต่อที่กล้องหน้า iPhone 14 Pro Max ยังคงมาพร้อมกล้องหน้าความละเอียด 12MP เท่าเดิม แต่เพิ่มความสามารถ Autofocus เข้ามาด้วย ช่วยให้เราถ่ายภาพในระยะใกล้ ๆ ได้มีมิติขึ้น หรือจะเป็นการเซลฟี่หลาย ๆ คนก็จะให้ความแม่นยำของใบหน้ามากกว่าเดิม

ส่วนคุณภาพก็คมชัดแบบสมจริงตามสไตล์ iPhone นั่นแหละครับ ยิ่งรอบนี้ซอฟต์แวร์เน้นไปที่ความคมชัดเป็นพิเศษ สาว ๆ อาจจะต้องเข้าแอปแต่งเพิ่มอีกสักนิดหากอยากได้ความเนียนใส ไร้ริ้วรอย

เทียบกับรุ่นเก่าล่ะเป็นยังไง !?

มาถึงตรงนี้แล้วเชื่อว่าหลายคนคงเกิดความสงสัยว่า เอ…ที่บอกว่าสกินโทนมันตุ่นบ้าง ปรับสีลดเหลืองไม่สดบ้าง มันเป็นยังไงกันแน่ เราก็เลยมีภาพเปรียบเทียบกับรุ่นเก่ามาฝากกันสักหน่อย เพื่อจะได้เห็นภาพว่าความแตกต่างคืออะไรเนาะ

ต้องบอกเลยว่าในภาพทั่วไป ถ้าไม่นับสกินโทนที่ต่างออกไป (เล็กน้อย) และความละเอียดที่คมชัดที่มากขึ้นเมื่อซูมดู เราจะเห็นว่าภาพนั้นไม่ได้แตกต่างกันเลย ถ้าไม่มีชื่อรุ่นบอกเชื่อว่าไม่รู้แน่นอน รวม ๆ ในเรื่องภาพถ่ายต้องบอกว่า iPhone 14 Pro Max อัปเกรดขึ้นมามากจริง แต่…ก็ต้องเป็นคนที่ชอบดูรายละเอียดแบบลึก ๆ ซะมากกว่าเพราะ ถ้าใช้งานทั่วไปเปิดดูแบบไม่ซูมหรืออัปลงโซเชี่ยล คุณภาพที่ดีขึ้นอาจไม่เห็นได้ชัดขนาดนั้นครับ

ซูม 15X

วิดีโอที่ดียิ่งขึ้นมีลูกเล่นเพิ่มเติม

สำหรับวิดีโอ iPhone 14 Pro Max ยังได้ความละเอียดสูงสุดที่ 4K/60fps เหมือนเดิม ในเรื่องคุณภาพคงไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว บอกว่าเป็นกล้องวิดีโอที่ดีที่สุดบนสมาร์ทโฟนก็คงไม่เกินจริงนัก ทั้งความนิ่งและสีสันในวิดีโอดีงามจริง ๆ ครับ แต่ทีเด็ดในรอบนี้ไม่ใช่แค่โหมดวิดีโอปกติ เพราะมีการอัปเกรดโหมด Cinematic ให้เก่งขึ้นถ่ายความละเอียดสูงสุดได้ที่ 4K/30fps แล้ว ให้เราได้ถ่ายวิดีโอหน้าชัดหลังเบลอแบบเนียน ๆ ได้ในความละเอียดสูงสุด ๆ

ซึ่งผลลัพธ์ของ Cinematic Video ในรอบนี้ก็ต้องบอกเลยว่าน่าทึ่งจริง ๆ การตัดขอบภาพ การละลายฉากหลังเนียนเป็นธรรมชาติกว่ารุ่นก่อนมาก บางซีนถ้าไม่บอกว่าใช้ iPhone ถ่าย เชื่อว่าหลายคนต้องแอบคิดว่านี่เป็นตัวอย่างภาพจากกล้องใหญ่สักรุ่นแน่นอน

Action mode โหมดกันสั่นแบบกล้องแอคชั่น

อีกหนึ่งโหมดที่ iPhone 14 Pro Max มีเพิ่มเข้ามาก็คือ Action mode หรือโหมดกันสั่นพิเศษที่ระบบใช้ความสามารถ EIS เพิ่มเติมให้วิดีโอที่นิ่งกว่าเดิม โดยความละเอียดภาพเราสามารถเลือกได้สูงสุดที 2.8K ซะด้วย อย่างที่เราจะได้เห็นจากคลิปตัวอย่างด้านล่างนี้ แม้เราจะวิ่งขึ้นบันไดหลายขั้นหรือวิ่งแบบสุดความเร็วตัวไฟล์ที่ได้ยังคงลื่นไหลมาก ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เราใช้มือถือแบบ Handheld อย่างเดียวด้วย ไม่ได้ใช้ไม้กันสั่นใด ๆ ทั้งสิ้นครับ

โดยรวมในเรื่องวิดีโอก็คงต้องยอมใจ iPhone 14 Pro Max จริง ๆ ครับ ทั้งในเรื่องความเนียนตาเวลาถ่ายโหมดปกติ ความลื่นไหลของเฟรมเรต และรอบนี้ยังอัปเกรดความละเอียดของ Cinematic mode และเพิ่ม Action mode เข้ามาอีก ชวนให้เป็นสมาร์ทโฟนสำหรับถ่ายวิดีโอของจริงอย่างปฏิเสธไม่ได้เลยล่ะครับ

ประสิทธิภาพเหนือชั้นด้วย A16 Bionic

มาต่อในเรื่องประสิทธิภาพของ iPhone 14 Pro Max กันเลย รอบนี้อัปเกรดชิปเซ็ตขึ้นมาเป็น A16 Bionic เร็วแรงขึ้น Apple เคลมว่าเป็นชิปสมาร์ทโฟนที่แรงที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ รอบนี้ได้ RAM มา 6GB และความจุเริ่มต้นที่ 128GB เหมือนเดิม ในเรื่องประสิทธิภาพจากการทำงานทั่วไปเราคงไม่ต้องอธิบายเยอะอยู่แล้ว เพราะเป็น iPhone ทำอะไรก็ลื่นไหลไปหมดแถมได้จอ 120Hz มาอีก

แต่จะบอกว่าแรงอย่างเดียวคงไม่เห็นภาพ เราลองทดสอบผ่านแอป Geekbench 5 ตามธรรมเนียมได้คะแนน Single-Core ออกมาที่ 1868 คะแนนและ Multi-Core ที่ 5404 คะแนน เรียกว่าสูงที่สุดที่เราเคยเห็นบนสมาร์ทโฟนเลยก็ว่าได้ครับ

ส่วนแอป AnTuTu Benchmark ก็ได้คะแนนสูงถึง 965814 คะแนนเลยทีเดียว เรียกว่าระดับต้นของวงการแล้วจริง ๆ

เล่นเกมลื่น ๆ แต่…

มาเข้าเรื่องเล่นเกมกันเลยดีกว่าไหน ๆ ก็ว่าประสิทธิภาพสูงขนาดนี้แล้วเนาะ สำหรับเกมที่เราจะใช้ทดสอบ iPhone 14 Pro Max ในรอบนี้มี 3 เกมคือ Asphalt 9, RoV และ Call of Duty ครับ ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาดังนี้เลย

เล่น Asphalt 9 บน iPhone 14 Pro Max

เริ่มที่เกมแข่งรถภาพสวยที่เราเล่นเป็นประจำกับ Asphalt 9 ก่อนเลย ในการตั้งค่านั้นแอบปรับได้น้อยกว่ารุ่นปัจจุบันนิดหน่อย เนื่องจากชิปเซ็ตเป็นรุ่นใหม่มาก แอปเลยอาจจะยังไม่รองรับเต็มที่ครับ เราไม่สามารถเปิด 60fps บน iPhone 14 Pro Max ได้ซะงั้น (แต่ iPhone 13 Pro เปิดได้) แต่เท่าที่เล่นนอกจากเรื่องเฟรมเรตที่ลื่นไหล ตัวเกมก็แสดงภาพได้สวยคมชัด พร้อมความลื่นไหลในระดับ 30fps แบบดีเยี่ยมครับ

เล่น RoV บน iPhone 14 Pro Max

ต่อกันที่ RoV เป็นเกมที่มีการพูดถึงอยู่มากตั้งแต่ตัวเครื่อง iPhone 14 Pro Max วางจำหน่าย เพราะตัว Dynamic Island มีการบัง UI บางส่วนเมื่อเล่น แต่ตรงนี้บอกก่อนว่า ณ เวลาที่เรารีวิวนี้ตัวแอปปล่อยอัปเดตใหม่มาปรับ UI ให้เข้าที่และเล่นได้สมบูรณ์แล้วครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เลย ส่วนการตั้งค่าก็ปรับได้ที่สูงสุดทั้งหมด เท่าที่เราลองเล่นจริงจังก็พบว่าตัวเกมทำได้ลื่นไหลดี แต่คงเพราะชิปเซ็ตตัวใหม่ที่ยังปรับจูนกันได้ไม่เต็มที่นัก ทำให้เฟรมเรตแกว่งอยู่บ้าง อยู่ในช่วง 54 – 60fps แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่เล่นได้อย่างไม่หงุดหงิดใจครับ

เล่น Call of Duty บน iPhone 14 Pro Max

ปิดท้ายที่ Call of Duty เราสามารถปรับระดับกราฟิกได้ที่ Very High คู่กับเฟรมเรต Ultra สูงที่สุดตอนนี้แล้วก็ว่าได้ ตัวเกมทำได้ลื่นไหลมาก แถมภาพก็อยู่ในระดับสูงสุด เกมนี้ UI ถูกออกแบบมาดีแล้ว เกาะ Dynamic Island ไม่ได้บดบังปุ่มกดใด ๆ เลย เท่าที่เราเล่นก็แฮปปี้มาก เฟรมเรตนิ่ง ๆ ทั้งเกมเลยล่ะครับ

โดยรวมในเรื่องของประสิทธิภาพการเล่นเกมของ iPhone 14 Pro Max ก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม แต่ก็ยังมีปัญหาเล็ก ๆ ในเรื่องความใหม่ของชิปเซ็ตที่เรามักจะเจอทุกปี ทำให้ช่วงแรกเกมบางเกมอาจจะยังไม่รองรับเต็มที่ ปรับกราฟิกได้ไม่สูงสุด หรือเฟรมดรอปบ้างเป็นธรรมดา แต่เชื่อว่าหลังจากนี้คงมีอัปเดตให้เล่นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้นแน่ ๆ ครับ

แบตเตอรี่ใช้งานได้ดี อึดแบบไม่ต้องกังวล

และเรื่องสุดท้ายของเป็นเรื่องแบตเตอรี่ ถ้าดูจากสเปคแล้ว iPhone 14 Pro Max นั้นได้แบตเตอรี่น้อยลงกว่ารุ่นก่อนนิดหน่อย แถมยังมีฟีเจอร์ Always On Display เข้ามาอีก เท่าที่เราลองใช้งานมาก็บอกตรง ๆ ว่าอึดน้อยลงกว่าเดิมหน่อย (ราว ๆ 10% ได้) ถ้าเทียบจากการใช้งานเหมือน ๆ กัน แต่ในระดับนี้ก็ยังเป็นสมาร์ทโฟนที่มีแบตเตอรี่อึดมาก ๆ อยู่ดี Screen on Time ได้ 5 – 6 ชม.ได้สบาย

ในการใช้งานจริงเราดึงออกจากที่ชาร์จตอน 7 โมงเช้าใช้งานเล่นโซเชี่ยล เข้าเว็บ แชท ดู YouTube ถ่ายรูปบ้าง มีเล่นเกมนิดหน่อย ทั้งหมดทำงานผ่าน 5G ก็ยังเหลือแบตฯถึงตอนค่ำประมาณ 30 – 40% สบาย ๆ แม้จะบอกว่าไม่อึดเท่าเดิม แต่ถ้าเทียบกับฝั่ง Android แล้วล่ะก็ รุ่นนี้ก็กินขาดไปเลยล่ะครับ

ส่วนเรื่องชาร์จ iPhone 14 Pro Max ยังคงรองรับชาร์จไวที่ 27W เหมือนเดิม ก็ถือว่าเพียงพอแล้วเพราะแบตเตอรี่ใช้งานได้นานเราคงไม่ต้องคอยมาชาร์จบ่อย ๆ แต่พอต้องชาร์จก็ให้ความเร็วที่ดีเลย ชาร์จ 0 – 50% ในเวลา 30 นาทีเท่านั้น ถ้าชาร์จจนเต็มอาจจะต้องรอนานหน่อยเป็นชม.เลย แต่แค่ระดับ 80% ก็ใช้งานต่อได้ทั้งวันแล้ว เรื่องชาร์จเราว่าไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่นะ

มีให้เลือก 4 ความจุราคาเปิดตัว 41,900 บาท

iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มีให้เลือก 4 สีประกอบด้วย ม่วงเข้ม, ดำสเปซแบล็ค, เงิน และทอง พร้อม 4 ความจุมีราคาดังนี้ครับ

iPhone 14 Pro

  • ความจุ 128GB ราคา 41,900 บาท
  • ความจุ 256GB ราคา 45,900 บาท
  • ความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท
  • ความจุ 1TB ราคา 63,900 บาท

iPhone 14 Pro Max

  • ความจุ 128GB ราคา 44,900 บาท
  • ความจุ 256GB ราคา 48,900 บาท
  • ความจุ 512GB ราคา 57,900 บาท
  • ความจุ 1TB ราคา 66,900 บาท

สรุปแล้ว “นี่คือไอโฟนรุ่นใหม่ที่อัปเกรดได้เหนือชั้นในเรื่องกล้องและหน้าจอ”

สรุปแล้ว iPhone 14 Pro Max ก็ถือว่าเป็นอีกการอัปเกรดของไอโฟนรุ่น Pro ที่น่าสนใจหลายเรื่อง ทั้งดีไซน์หน้าจอแบบใหม่ Dynamic Island ที่สดใหม่และพร้อมจะมีลูกเล่นใหม่ ๆ เข้ามาอีกมากมาย เปลี่ยนภาพรอยบากเดิม ๆ ไปได้อย่างดี มี Always On Display หน้าจอติดตลอดครั้งแรกบนไอโฟนและยังมีเฉพาะ 2 รุ่นโปรนี้ด้วย กล้องที่สร้างมาตรฐานใหม่ในเรื่องความคมชัดและคุณภาพขึ้นไปอีกด้วยเซ็นเซอร์ 48MP พร้อมทั้งซอฟต์แวร์ที่ฉลาดยิ่งขึ้น ในเรื่องสเปคก็อัปเกรดขึ้นมาด้วยชิป A16 Bionic ตัวแรงที่ใช้งานลื่นไหลไปซะหมด ใครที่รอการอัปเกรดครั้งใหญ่แบบนี้อยู่เราว่าไม่ผิดหวังครับ iPhone 14 Pro Max ถือว่าเป็นไอโฟนที่ครบเครื่องที่สุดของ Apple ในตอนนี้แล้วจริง ๆ ครับ

ส่วนคำถามที่ว่ารุ่นนี้เหมาะกับใคร ใช้ iPhone 13 Pro Max อยู่ควรอัปเกรดมารึเปล่า ? ในความคิดเห็นของเราคิดว่ารุ่นนี้น่าจะเหมาะกับคนที่ใช้ iPhone 11 Series, 12 Series หรือ iPhone 13 อยู่แล้วต้องการอัปเกรดมาเป็นรุ่นล่าสุดซะมากกว่า จะได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมขึ้นทั้งดีไซน์ขอบเหลี่ยมใหม่ (ถ้ามาจาก 11 Pro Max) หน้าจอ ProMotion ที่ลื่นไหลขึ้นอีกด้วย แต่ถ้าใช้ iPhone 13 Pro Max อยู่เราว่ายังไม่จำเป็นต้องอัปเกรดก็ได้ เพราะความสามารถต่าง ๆ ยังทำได้ใกล้เคียงกันมาก เว้นแต่ว่าอยากลองสัมผัส Dynamic Island หรือสีใหม่อย่าง Deep Purple น่ะนะ

จุดเด่น

  • หน้าจอ OLED ความสว่างสูงสุด 2000nits ใช้งานกลางแจ้งสบายตา
  • Dynamic Island ช่วยให้ดีไซน์ด้านหน้าดูสดใหม่ UI น่าสนใจ
  • ชิป A16 Bionic เร็วแรง ตอบทุกโจทย์การใช้งานขั้นสุด
  • กล้องหลังที่อัปเกรดครั้งใหญ่ ถูกใจสายถ่ายภาพเน้นความคมชัด
  • แบตเตอรี่สุดอึด ใช้งานได้แบบไร้กังวล
  • งานประกอบชั้นเลิศและสีใหม่ Deep Purple ลงตัวมาก ๆ

จุดสังเกต

  • ยังคงใช้พอร์ต Lightning